รีวิว My Sassy Girl ยัยตัวร้ายกับนายกระจั๊วะ (2021) เวอร์ชั่นไทย

My Sassy Girl เวอร์ชั่นไทยรีเมกจากเกาหลี ภาพยนตร์ My Sassy Girl ยัยตัวร้ายกับนายเจี๋ยมเจี้ยม ภาพยนตร์สุดโด่งดังจากเกาหลีที่ทำให้สาวจอนจียอนโด่งดังเป็นพลุแตกพร้อมฉายายัยตัวร้าย ตอนนี้ค่าย TrueVisions ร่วมกับ Halo Productions นำกลับมาสร้างเป็นซีรีส์ ในชื่อใหม่ ยัยตัวร้ายกับนายกระจั๊วะ เป็นซีรีส์แนวโรแมนติก คอมมาดี้ ที่ออกมาแค่ EP แรกก็กระตุกต่อมฮา เรียกเสียงหัวเราะ ทำขำกลิ้งกันไปหลายตลบ

เรื่องราวของนักศึกษาหนุ่มที่เพิ่งออกจากการเป็นทหารเกณฑ์ จั๊วะ (แสดงโดย เบสท์ ณัฐสิทธิ์) วันหนึ่งได้มาเจอกับสาวสวย หน้าตาน่ารัก หุ่นดี ยัยตัวร้าย (เวอร์ชั่นไทย แสดงโดย แก้ว จริญญาและเวอร์ชั่นเกาหลีแสดงโดย จอนจียอน) ที่กำลังอยู่ในอาการเมาขั้นสุด แต่เพราะเธอเป็นสเปกของเขา เขาจึงให้ความช่วยเหลือเธอไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ และพาไปค้างคืนในโรงแรม รอให้เธอได้สติ แต่คงเป็นโชคร้ายของเขา ทำให้ถูกเข้าใจผิดว่าคิดทำมิดีมิร้ายกับสาวที่เพิ่งเจอ จนถูกตำรวจจับไปนอนในคุกหนึ่งคืน จากนั้นชีวิตเขาก็มียัยตัวร้ายเข้ามาวนเวียนป้วนเปี้ยนอยู่ด้วยตลอด ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไป

โดยรวมเนื้อเรื่องหลังจากที่ดูตอนแรก มีความคล้ายคลึงต้นฉบับ เพราะมีหลายภาพที่ดูแล้วเป็นภาพจำที่จำได้จากเวอร์ชั่นเกาหลี แต่มีการปรับให้เข้ากับเวอร์ชั่นไทย อย่างเปลี่ยนฉากเปิดเรื่อง ซีนกลับมาตามหา Time Capsule มาอยู่ข้างริมทะเล หรือเปลี่ยนจากรถไฟใต้ดินเป็นนั่งเรือข้ามฝากแทน ก็เข้าท่าดีนะ ดูเป็นไทย ๆ ดีเห็นชัดว่าโปรดักชั่นคุณภาพ ภาพสวยทุกซีน แค่ตอนแรกก็ไปกันหลายโลเคชั่นเลย ทั้งซีนบนโขดหินริมทะเล เรือข้ามฝากวิวสองข้างทางแม่น้ำเจ้าพระยา เรียกว่าได้เห็นภาพเมืองไทยทั้งกลางวันและกลางคืน บอกเลยคิดถึง เพราะช่วงนี้ไม่ค่อยได้ออกไปไหน ดูมุมกล้องสวย ๆ ที่ถ่ายภาพเมืองไทยไว้ แล้วมีความสุข

 

👉👉  นอกจากนี้ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับ ดูหนังใหม่ ได้ที่นี่

รีวิว Secrets in the Hot Spring (ความลับในบ่อน้ำพุร้อน)

Secrets in the Hot Spring อาจได้รับการขนานนามว่าเป็นหนังตลกสยองขวัญ แต่ก็มีเรื่องราวที่น่าประทับใจอย่างน่าประหลาดใจ ภาพยนตร์สยองขวัญมักอาศัยดนตรีเป็นหลัก และเพลงประกอบภาพยนตร์โดย เทิดศักดิ์ จันทร์พันธุ์ นักแต่งเพลงชาวไทยก็มีบทบาทสำคัญในการสร้างบรรยากาศที่น่าสยดสยอง คุณรู้สึกเหมือนอยู่ในโรงแรม มีส่วนร่วมในการผจญภัยของเด็กผู้ชาย

เรื่องราว Xiaogin (Zhang Ting-hu) ย้ายโรงเรียนเป็นครั้งที่สามในหนึ่งปี เมื่อสิ้นสุดภาคการศึกษา ปู่ย่าตายายของเขาเชิญเขาไปที่โรงแรมน้ำพุร้อนที่พวกเขาดำเนินการ Xiaogin พาเพื่อนร่วมชั้นสองคนไปด้วย: เจ้าหญิงน้อย (Hong Yan-xiang) และ Lu Qun (Lin He-xuan) ผู้ซึ่งมองว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นหนทางที่จะหนีจากพวกอันธพาลในโรงเรียน แต่เมื่อพวกเขามาถึง โรงแรมก็มืดมนและลึกลับมาก เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างแปลกเกิดขึ้น มันอาจจะถูกหลอกหลอน? พวกเขาสามารถค้นหาสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ใต้บ่อน้ำพุร้อนและกลับไปโรงเรียนอย่างปลอดภัยในเทอมใหม่ได้หรือไม่?

โดยสรุปภาพยนตร์เรื่องนี้ยังเป็นที่น่าสังเกตสำหรับการแสดงความสัมพันธ์ระหว่างเด็กชายทั้งสาม ในตอนเริ่มต้น พวกเขาเกลียดชังกัน แต่เมื่อสถานการณ์แย่ลง ความผูกพันของพวกเขาก็ดีขึ้น และพวกเขาต่างก็เชื่อใจและพึ่งพาซึ่งกันและกัน

👉👉   นอกจากนี้ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับ รีวิวหนังสารคดี ได้ที่นี่

รีวิว Dance Sports Girls / Just Dance กีฬาการเต้น

Just Dance  การเต้นเจากหนังสารคดีน้ำดีที่คว้ารางวัลรายการเพื่อการศึกษายอดเยี่ยมในปีที่ผ่านมา สู่การนำมาผลิตเป็นเวอร์ชั่นละคร ซีรีย์แนว Coming of Age เรื่องราวเกิดขึ้นที่ กอเจ ทางใต้ของจังหวัดคยองซัง ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งถือเป็นเมืองหลักด้านอุตสาหกรรมด้านการสร้างเรือ ซึ่ง ณ ช่วงเวลานี้กำลังอยู่ในช่วงตกต่ำ เป็นละครที่ว่าด้วยเรื่องราวของเด็กนักเรียน 6 คนที่เป็นสมาชิกชมรมเต้น พวกเขามีเป้าหมายเดียวกันคือการชนะการแข่งขันเต้น

เรื่องราวนี้เกี่ยวกับอีชีอึน (พัคเซวาน) เด็กสาวที่ใฝ่ฝันอยากเรียนต่อมหาวิทยาลัย ในการทำให้สิ่งนี้เป็นจริงเธอจึงเข้าร่วมชมรมเต้นเพื่อฝึกทักษะการเต้นของตัวเองและส่งเสริมชื่อเสียงของโรงเรียน ระหว่างทางอีชีอึนได้สร้างมิตรภาพที่แน่นแฟ้นกับสมาชิกของสโมสรเต้น แน่นอนว่าเรื่องราวระหว่างทางนั้นไม่ง่ายเลยเพราะทุกคนต่างมีปัญหาเป็นของตัวเองรวมไปถึงความท้อใจที่เกิดขึ้นระหว่างทางอีกด้วย แต่พวกเขาก็ใช้การเต้นเพื่อบำบัดตัวเองและสนุกไปกับมัน พวกเขาจะทำสำเร็จหรือไม่ต้องตามไปดูกันค่ะ ขอบอกก่อนเลยว่าซีรีส์เรื่องนี้นั้นถูกสร้างมาจากสารคดีที่ได้รับรางวัลดังนั้นจึงได้ฝากแง่คิดไว้ตลอดทั้งเรื่องค่ะ

โดยรวมเป็นซีรีย์น้ำดีอีกหนึ่งเรื่องที่คุณควรดูค่ะ ตัวเรื่องจะเล่าเรื่องในเมืองกอเจซึ่งเป็นเมืองทางตอนใต้ของจังหวัดคยองซังในเกาหลีใต้ เมืองนี้เป็นเมืองอุตสาหกรรมทางเรือที่ต้องเผชิญกับการปรับโครงสร้างใหม่ ชาวเมืองจำนวนมากต่างพากันขนย้ายข้าวของออกไปเพราะเมืองกำลังตกต่ำถึงขีดสุด อย่างไรก็ตามในเมืองนั้นมีเด็กสาววัยรุ่นกลุ่มหนึ่งซึ่งถูกลิขิตให้นำความมีชีวิตชีวากลับคืนมาสู่เมือง

👉👉   นอกจากนี้ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับ รีวิวซีรี่ย์ฮิตติดกระแส ได้ที่นี่

รีวิว High School King of Savvy : ไฮสคูลคิง หนุ่มฮอตสลับขั้ว

 

High School King of Savvy เป็นซีรีส์แนวโรแมนติกคอมเมดี้ที่นำเสนอเรื่องราวของอีมินซอก (ซออินกุก) อีมินซอกเป็นนักกีฬาฮอกกี้ตัวแทนที่โรงเรียนที่มีความเก่งมาก ความเก่งของเขาทำให้เขามีแฟนคลับและได้รับความชื่นชมจากผู้คนมากมายและหนึ่งในนั้นก็คือเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเขาที่มีชื่อว่าจองยูอา (อียอลอึม) ในวันที่อีมินซอกประสบความสำเร็จทางบ้านของเขาก็อยากจะจัดงานฉลองให้กับเขาและอยากรวมตัวกันในครอบครัว ในวันเดียวกันนั้นเองอีมินซอกได้รับโทรศัพท์ลึกลับจากพี่ชายของเขาว่าเขาจะไม่สามารถกลับมาได้อีกแล้ว

แต่ความลับที่ไม่มีใครล่วงรู้เลยก็คืออีมินซอกและพี่ชายนั้นมีหน้าตาที่เหมือนกันอย่างกับแกะ ถึงแม้อายุจะห่างกันถึง 9 ปีแต่หน้าตาก็คล้ายกันมากจนแยกไม่ออก พี่ชายของอีมินซอกได้ขอร้องให้อีมินซอกปลอมตัวเป็นเขาเพื่อไปทำงานในบริษัทแห่งหนึ่งในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายค้าปลีก พี่ชายของอีมินซอกไม่ได้พูดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องที่เขาหายตัวไป เพียงแต่บอกว่าเขาต้องซ่อนตัวอยู่อีกสักพัก ในขณะที่อีมินซอกได้ไปถึงบริษัทเขาได้เจอกับพี่สาวของจองยูอาที่มีชื่อว่าจองซูยอง (อีฮานา) ซึ่งเธอเป็นพนักงานสัญญาจ้างในบริษัทเดียวกัน ซึ่งจองซูยองนั้นแอบชอบอีฮยองซอกในคราบของอีมินซอก ระหว่างที่รอพี่ชายเขากลับมาอีมินซอกชายหนุ่มวัย 18 ต้องทำกิจกรรม 2 อย่างพร้อมกันก็คือการเล่นกีฬาฮ็อกกี้น้ำแข็งและเป็นผู้อำนวยการบริษัท นอกจากนี้เขายังต้องคลุกคลีกับสาว ๆ อีก 2 คน โดยที่พวกเธอไม่รู้ว่าได้ตกหลุมรักผู้ชายคนเดียวกัน

ความรู้หลังจากที่ดูเหมือนไม่รู้ว่าจะให้ตัวละครตัวไหนคู่กับคนไหนดี เหมือนดูกระแสแล้วปรับบทตาม เลยออกจะน่าเบื่ออยู่สักหน่อย ยิ่งเป็นคนที่ดูหนังวันละหลายๆ เรื่องหรือซีรีย์วันละเรื่อง พอเจอบทที่ให้นางเอกโก๊ะๆ โง่ๆ ตั้งแต่ตอนแรกยันตอนจบ แต่ผู้ชายมารุมรักรุมดูแลเนี่ย บอกตรงๆ ว่าเบื่อมาก ไม่นับว่าพระเอก พระรองต้องมีปมชีวิตอีกมากมาย ดราม่าเหมือนโยนเครื่องปรุงทุกอย่างลงหม้อต้ม อะไรแบบนั้น รสชาติเลยแปลกๆ

 

👉👉   นอกจากนี้ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับ รีวิวซีรีย์แนวสืบสวนสอบสวน แนวฆาตกรรม ไขปริศนา ได้ที่นี่

รีวิว Stand by Me Doraemon 2 ( โดราเอมอน เพื่อนกันตลอดไป )

Stand by Me Doraemon 2 (โดราเอมอน เพื่อนกัน) เนื้อเรื่องที่โนบิตะอยากกลับไปหาคุณย่าเพราะเจอตุ๊กตาในวัยเด็ก และลากไปสู่ตอนที่โนบิตะในอนาคตหนีการแต่งงาน ทำให้โดราเอมอนต้องตามไปแก้ปัญหามีการข้ามเวลาไปมากันวุ่นวาย เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างโนบิตะกับครอบครัว (คุณย่า,คุณพ่อ,คุณแม่) มาเชื่อมกับครอบครัวที่กำลังเกิดขึ้นใหม่ (โนบิตะ กับชิสุกะ) นั้น ทำให้เราเห็นความพิถีพิถันของผู้สร้างอย่างดีทีเดียว อันนี้ชื่นชมมาก ๆ

เรื่องราว เมื่อโนบิตะพบตุ๊กตาหมีตัวเก่าที่เขาเคยเล่นสมัยเด็กอยู่ในห้อง ทำให้เขานึกถึงคุณย่าที่แสนใจดี พร้อมตัดสินใจชวนโดราเอมอนย้อนเวลากลับไปในอดีตเพื่อพบกับคุณย่าอีกครั้ง จนเมื่อคุณย่าเอ่ยปากว่า “อยากจะพบกับเจ้าสาวของโนบิตะ” โดราเอมอนและโนบิตะจึงเดินทางไปในวันแต่งงานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ก่อนจะพบว่าโนบิตะในวัยผู้ใหญ่ได้หนีหายออกจากงานแต่งงานของเขากับชิซึกะไป โนบิตะและโดราเอมอนจึงต้องช่วยกันตามหาเพื่อทำให้ความฝันของคุณย่าเป็นจริง 

สรุปหลังจากที่ดูเนื้อเรื่องที่ดูมีความเชื่อมโยงกับภาคแรกอย่างรู้สึกได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่คิดไม่ถึง เพราะนึกว่าจะแยกกันจบแบบเวอร์ชั่นผจญภัยทั่ว ๆ ไป และแต่ละตอนนั้นก็ไม่ได้เชื่อมโยงถึงกัน แถวด้วยระยะ เวลาที่ทิ้งห่างมานานถึง 6 ปีนั้น ก็มากพอที่จะทำให้คนดูลืมเนื้อเรื่องบางส่วนไปแล้ว ซึ่งคิดว่าทางผู้กำกับ คงอยากให้หนังชุดนี้มีความเชื่อมโยงกันและเป็นหนังที่บรรดาแฟน ๆ โดราเอมอนต้องเก็บสะสมอย่างแน่นอน .

👉👉  นอกจากนี้ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับ ดูหนังใหม่ ได้ที่นี่

รีวิว Thumping Spike ความรักและมิตรภาพของทีมวอลเลย์บอลในโรงเรียนมัธยมปลาย

Thumping Spike เป็นซีรีย์ที่เกี่ยวกับกีฬาวอลเลย์บอลค่ะ ดำเนินเรื่องโดยนักวอลเลย์บอลสาวดาวรุ่งอย่างคังเซรา (ฮวังซึงออน) เธอเคยเป็นผู้เล่นมือดีมากแต่ต้องประสบกับเหตุการณ์บางอย่างส่งผลให้เธอตกต่ำอย่างกะทันหัน ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ก็ทำให้คังเซราต้องเข้าไปพัวพันกับปัญหาทางด้านกฎหมาย เพื่อหลบเลี่ยงการฟ้องร้องเธอจึงต้องปลีกตัวไปที่อื่นสักพัก

เรื่องราว ของความรักและมิตรภาพของทีมวอลเลย์บอลในโรงเรียนมัธยมปลาย พระเอกเป็นนักกีฬาวอลเล่ย์ ปากไม่ตรงกับใจ นางเอกเป็นนางฟ้าวอลเลย์บอลและได้มาเป็นโค้ชอย่างกะทันหัน และแน่นอนว่าทางออกของเธอก็มาถึงเพราะเธอได้เข้าไปสอนทีมวอลเลย์บอลชายระดับไฮสคูลซึ่งทีมนี้ก็มีโค้ชหนุ่มหล่ออย่างฮวังแจอุง (ซงแจริม) ควบคุมอยู่แล้ว ซึ่งฮวังแจอุงก็เคยเป็นผู้เล่นดาวเด่นมาก่อน ถึงแม้ว่าฮวังแจอุงจะมีทักษะและความสามารถในการเล่นกีฬา แต่สถิติการเล่นของทีมก็ยังแย่มาก ดังนั้นการเจอกันของคังเซราและฮวังแจอุงก็เพื่อที่จะทำให้ทีมนี้ประสบความสำเร็จ แต่เรื่องราวก็ไม่ได้ง่ายเลยเพราะทั้งคู่ไม่ถูกชะตากัน แต่ไม่นานความรำคาญก็กลับกลายเป็นความโรแมนติกทั้งสองต้องช่วยเหลือกันเพื่อฝ่าฟันอุปสรรคที่กำลังเข้ามา

โดยสรุปเนื้อเรื่องจะเกี่ยวกับวอลเลย์บอลดูแล้วสนุกดีน่ารัก หวานๆ ดูไปอมยิ้มไปพระนางเคมีเข้ากันมากชอบมากเวลาพระเอกยิ้มใจละลายเลยค่ะ5555มีแอบหงุดหงิดนิดนึงตรงนิสัยนางเอกเราเป็นพวกไม่ชอบนิสัยนางเอกเเบบในเรื่องอยู่เเล้วแต่ก็ดูจนจบเพราะเเพ้รอยยิ้มของพระเอกจริงๆ

 

👉👉  นอกจากนี้ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับ รีวิวหนังมิวสิคัล เพลงดนตรี ได้ที่นี่

รีวิว เดอะ ครู้ดส์: ตะลุยโลกใบใหม่ (The Croods: A New Age)

The Croods แอนิเมชันที่จับไอเดียการสร้างคาแรกเตอร์ของมนุษย์ยุคดึกดำบรรพ์มาเล่าในมุมมองของครอบครัวที่ทั้งชีวิตคุ้นเคยแต่กับการอยู่ในถ้ำจนได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์ถ้ำกระทั่งได้พบการเปลี่ยนแปลงหลังคนแปลกหน้าก้าวเข้ามาในครอบครัวของเขาและโลกที่กำลังเกิดปรากฎการณ์แผ่นดินแยกตัว แม้หนังจะไม่ได้ประสบความสำเร็จระดับปรากฎการณ์แต่ด้วยความดีงามของหนังก็ทำให้มันมีภาคต่อออกมาในวันนี้

เรื่องราว  เดอะครู้ดส์ คือ ครอบครัวคนยุคหิน ที่ประกอบไปด้วย ยาย กรั๊ก ผู้พ่อ อักก้า ผู้แม่ และลูกสาวคนโต ลูกชายคนรอง และลูกสาวคนเล็กที่มีทีท่าเหมือนหมานั่นแหละ อ่อ มีสัตว์เลี้ยงด้วย ตัวโตหน้าตายังกับเสือเขี้ยวโง้ง กรั๊กมีความเชื่อว่า พวกเขาต้องถือความเป็นฝูงความเป็นครอบครัวเป็นหลักใหญ่ พวกเขาอาจจะคลุกฝุ่นมอมแมม แต่ตอนนี้นี่นอนอัดรวดเป็นก้อนเดียวให้ความอบอุ่นแก่กัน แต่ในวันหนึ่ง อีพ ลูกสาวคนโตเกิดไปพบกับมนุษย์หนุ่มหลงฝูงคนหนึ่งเข้า เขาชื่อ กาย  และทั้งสองก็รักกันปานจะกลืนกิน แต่เดอะครู้ดส์ก็รับเขาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ที่ครอบครัวไปพบเข้ากับโลกแห่งใหม่เบื้องหลังกำแพงนั้น มีแต่ผักผลไม้นานาพันธุ์แหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ กับครอบครัวเบทเทอร์แมนที่มีลูกสาวอยู่คนหนึ่ง พวกเขาดูมีความเจริญ แต่งตัวสะอาดสะอ้าน มีบ้านบนต้นไม้ใหญ่ แถมพื้นที่ที่พวกเขาเรียกว่าบ้าน ก็ช่างอุดมสมบูรณ์ดีเหลือเกิน ที่นี่คือโลกยุคใหม่ที่แตกต่างจากยุคหินที่พวกเขาเคยคุ้น

โดยภาคนี้ นอกจากจะมีกาย แฟนหนุ่มของอีพเพิ่มเข้ามา มีครอบครัวยุคใหม่ ที่เพิ่มมา ก็ยังจะมีสัตว์รูปร่างแปลกตาเพิ่มเข้ามาอีกมากมาย โดยเฉพาะ เจ้าหมาแมงมุม ส่วนเจ้าลิงต่อยนี่ยังไม่รู้ว่าจะน่ารักหรือน่ากลัวดี แต่ต้องว่าน่าชื่นชมความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างสรรค์สัตว์แปลกๆ ใหม่ๆ ทุกสิ่งล้วนเป็นจินตนาการ เพราะโลกสองยุคมันก็ไม่ได้อยู่ในเวลาเดียวกันหรอก

👉👉  นอกจากนี้ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับ รีวิวหนังสารคดี ได้ที่นี่

รีวิว Raya and The Last Dragon (รายากับมังกรตัวสุดท้าย)

Raya and The Last Dragon (รายากับมังกรตัวสุดท้าย) ภาพยนตร์แอนิเมชันแนวแอ็คชั่นผจญภัยแฟนตาซีสัญชาติอเมริกัน ใครจะไปคาดคิดกันว่าดิสนีย์จะหยิบนำวัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่รวมกว่าสิบประเทศให้มาอยู่ในโปรเจกต์อนิเมชั่นยักษ์ใหญ่ที่มีการผสมผสานของหลากหลายวัฒนธรรมบนดินแดนเดียวกัน ผสมกับความแฟนตาซีแบบที่ดิสนีย์ถนัดมือ แต่ก็ต้องมาเรียนรู้และนับหนึ่งกันใหม่ เมื่อทีมงานต้องศึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อเนรมิตให้วัฒนธรรมที่ทำออกมาสามารถนำเสนอได้อย่างไม่มีการผิดพลาด

เรื่องราว คูมันตรา ดินแดนที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีรายา นักรบหญิงพเนจรผู้หลบหนีออกมาจากเหตุร้ายที่คร่าชีวิตครอบครัวของเธอไปจนหมด ปฏิญาณเดียวที่เธอต้องทำและเธอจะไม่เชื่อใจใครทั้งนั้น เธอและสัตว์พาหนะเพื่อนรักของเธออย่างตุ๊ก ตุ๊ก จึงต้องออกเดินทางผ่านห้าอาณาจักรที่ตั้งชื่อตามส่วนต่าง ๆ ของมังกร เพื่อนำผลึกมังกรและมังกรตัวสุดท้าย ชิซู ที่ในตำนานกล่าวไว้ว่า เป็นผู้กอบกู้อาณาจักรในอดีต มาหลอมรวมกันเพื่อสร้างความสงบสุขอีกครั้ง แต่เรื่องมันไม่ง่ายแบบนั้น เมื่อชนเผ่าต่าง ๆ ที่เคยสามัคคีก็ลุกขึ้นมาต่อสู้และแก่งแย่งชิงกันไม่สิ้นสุด ความไม่เชื่อใจเข้าปกคลุมอาณาจักร รายาต้องเรียนรู้ที่จะต่อสู้กับความบาดหมางในอดีตที่เกิดขึ้นกับคนรุ่นก่อน และความสัมพันธ์ที่มีต่อคนรอบตัว หาทางรวมใจทุกเผ่าเพื่อกอบกู้อาณาจักรให้กลับมาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง ก่อนที่ความมืดที่ชั่วร้ายอย่าง ดรูน จะกลืนกินทุกชีวิตในอาณาจักรไปจนหมดสิ้น

โดยการผสมผสานทำให้เราได้เห็นมวยไทย กระบี่กระบองในเรื่องด้วย ซึ่งใครไปดูก็จะเก็ตเลยว่ามันก็คือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี่เอง การต่อสู้จะค่อนข้างมีหมัด มีดาบ มีมวย และแทบไม่มีเรื่องของความรักตามแบบเจ้าหญิงควรจะมีด้วย เพราะตัวละครหลัก ๆ จะเป็นผู้หญิง ผู้ชายแทบจะไม่มีบทเด่นสำคัญหรือมีผลต่อความสัมพันธ์อะไรเหมือนดิสนีย์ และมันก็ทำออกมาได้ดีด้วย แถมเนื้อเรื่องยังค่อนข้างจะเข้มข้นด้วยปมปัญหาของตัวละครที่เข้ามาทำให้ตัวละครดูมีมิติขึ้นมา  คิดว่ากลุ่มเป้าหมายน่าจะเป็นคนที่โตขึ้นด้วย เด็กดูอาจจะกลัว เพราะมันโหดมาก ๆ ไม่ได้มีเลือดมีอะไร แต่ทำให้รู้ได้ว่าตัวละครนั้น ๆ ตาย

👉👉  นอกจากนี้ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับ รีวิวซีรี่ย์ฮิตติดกระแส ได้ที่นี่

รีวิว Khun-Bunlue (ขุนบันลือ) ขยันปล่อยมุก 5 บาท 10 บาท

Khun-Bunlue (ขุนบันลือ) ‘คนที่เชียงราย’ ที่แก๊งสามช่าชอบเอามาอำกันใน ชิงร้อยชิงล้าน จนกลายมาเป็นไอเดียหนังคอเมดี้ครอบครัวในรูปแบบของพีเรียดย้อนยุค โดย ‘ขุนบันลือ’ นี้ หม่ำแกเหมาคนในครอบครัวมาเล่นหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นภรรยาในชีวิตจริง มด (เอ็นดู วงษ์คำเหลา) หรือว่า น้องมิกซ์ (เพทาย วงษ์คำเหลา) ลูกชายคนเล็กที่หลายคนคงเริ่มผ่านตาผลงานแร็พเปอร์อีสานมาพักหนึ่งแล้ว นอกจากคนในบ้านแล้ว ยังมีดาราตลกเข้ามาเสริมทัพความฮาได้น่าสนใจเลย ไม่ว่าจะเป็น โรเบิร์ต สายควัน, สุนารี ราชสีมา, นก เชิญยิ้ม และ ปลาคราฟ เชิญยิ้ม เรียกว่าได้ดูขุนบันลือ เหมือนได้ดูรายการชิงร้อยฯ ผสมกับก่อนบ่ายคลายเครียด มายำรวมกันบนโรง

เรื่องราวของ ขุนบันลือ นั้น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดใน พ.ศ. 2447 ยุคสมัยที่บ้านเมืองกำลังถกเถียงเรื่องการปลดแอกสัญญาทาส ขุนบันลือ (เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา) ได้รับมอบหมายให้ไปราชการที่ เมืองเชียงราย แต่ขุนบันลือเองกลับกังวลใจ เพราะถูก มด ทาสหญิงที่ขุนบันลือแอบมีความสัมพันธ์ด้วยจับได้ว่าท่านขุนแอบซุกใครบางคนอย่างลับ ๆ ไว้ที่เมืองเชียงรายมาก่อน ขณะเดียวกันก็มีเรื่องราวของเพื่อนรักของท่านขุน ที่พาลูกสาวและลูกชายมาฝากให้ช่วยดูแลเนื่องจากต้องไปราชการที่ต่างประเทศ ซึ่งทั้งสองก็กลับแอบปิ๊งบรรดาทาสในเรือนของท่านขุน ความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นของคู่ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น จะหาข้อสรุปอย่างไร ท่ามกลางความรักที่ยุ่งเหยิงแบบนี้

โดยสรุปจุดน่าสนใจตรงที่มาเซตฉากเป็นแบบย้อนยุค แอบให้ความรู้สึกควันหลงจาก บุปเพสันนิวาส หน่อย ๆ แต่เส้นเรื่องของแต่ละตัวละครไม่ได้มีอะไรที่หนังหยิบมาขยายอะไรแบบจริงจัง หนังไม่ได้โฟกัสไปที่ความสัมพันธ์ของ ขุนบันลือ กับหญิงสาวคนไกลที่เป็นปริศนามากอย่างที่คิด แต่จะวนเวียนอยู่กับเรื่องราวในชีวิตประจำวันมากกว่า แล้วก็ขยันปล่อยมุก 5 บาท 10 บาท บวกกับความตลกหน้าตายในแบบหม่ำสไตล์มาสร้างจุดขายเหมือนหนังของแกเรื่องอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าด้วยความที่มีนักแสดงรับเชิญหลากหลายมาสร้างสีสัน นี่คือจุดที่ช่วยพยุงหนังให้ดูเพลินได้เรื่อย ๆ 

👉👉  นอกจากนี้ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับ รีวิวหนังมิวสิคัล เพลงดนตรี ได้ที่นี่

รีวิว The Trip (2021) แนวตลกร้าย วายป่วง วินาศสันตะโรแบบคาดเดาอะไรไม่ได้

The Trip ภาพยนตร์นอร์เวย์จาก Netflix แนวตลกร้าย วายป่วง วินาศสันตะโรแบบคาดเดาอะไรไม่ได้ เลือดนองทั้งเรื่อง เรต 18+ เมื่อสองสามีภรรยาไปทริปบ้านพักในป่าแล้ววางแผนฆ่ากันเอง แต่กลับเจอเรื่องราวหักมุมไม่หยุดหย่อน  นักแสดงหลัก ได้นางเอก นูริ ราเปซ ที่เคยมีผลงานชื่อดังอย่าง The Girl with Dragon Tattoo (เวอร์ชั่นต้นฉบับ) มารับบทเป็น ลิซ่า นางเอกของเรื่อง และเป็นหนังแนวตลกเรื่องแรกด้วย ผู้กำกับโดย ทอมมี่ เวียร์โคบ้า 

เรื่องราวของ สองสามีภรรยา ลิซ่า นักแสดงหญิง และ ลาร์ส ผู้กำกับละครเวที ที่กำลังมีปัญหาชีวิตคู่อย่างรุนแรง รวมถึงปัญหาด้านการเงินและอื่นๆ พวกเขาเลยวางแผนที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์ด้วยการเดินทางไปทริปพักผ่อนในบ้านกระท่อมกลางป่าซึ่งเป็นบ้านพักตากอากาศของพ่อของลาร์สที่ปลูกไว้ แต่ทั้งสองสามีภรรยาต่างฝ่ายก็มีแผนลับของตนเองอยู่ นั่นคือการหาทางฆาตกรรมอีกฝ่าย เพื่อตัดปัญหาชีวิตคู่ และจะได้เป็นอิสระอีกครั้ง แต่หารู้ไม่ว่า แผนการณ์ของพวกเขากลับไม่ได้ดำเนินอย่างราบรื่น แถมยังมีสถานการณ์สุดวายป่วงที่เข้ามาเป็นระยะจากผู้คนที่กรูกันเข้ามาที่บ้านพักตากอากาศหลังนี้โดยบังเอิญ จากทริปพักผ่อนที่สองสามีภรรยาวางแผนฆ่ากัน เลยกลายเป็นสถานการณ์ที่ทั้งสองคนต้องหาทางเอาชีวิตรอดจากเหตุนองเลือดท่วมบ้านที่ดูเหมือนจะรุนแรงขึ้นทุกขณะที่หนังฉายไปเรื่อยๆ

โดยเรื่องนี้เป็นหนังแนวตลกร้าย ผสมเลือดสาด มุกซกมก สุดเถื่อน ถ้าให้อธิบายว่าคล้ายกับภาพยนตร์ฮอลลีวูดชื่อดังเรื่องไหน สไตล์ของเรื่องก็มีส่วนคล้ายกับหนังอย่าง Snatch ของผู้กำกับ กาย ริชชี่ เพียงแต่เพิ่มดีกรีความเลือดสาดมากกว่า ดูไปแล้วจะคล้ายกับหนังอย่าง Piranha 3D มากกว่า ซึ่งในภาพรวมของหนังจัดว่าเป็นแนวตลกวายป่วง ที่ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว ไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ เนื้อเรื่องพร้อมจะหักมุมตลอดเวลา และพร้อมจะยัดตัวละครหรือสถานการณ์วายป่วงเข้ามาแบบไม่ต้องสนใจความสมจริงใดๆทั้งสิ้น ประมาณว่าจังหวะเวลาและไทม์มิ่งทุกอย่าต้องมาเกิดขึ้นที่บ้านกลางป่าซึ่งเป็นฉากหลักของเรื่องนี้ทั้งหมด

👉👉  นอกจากนี้ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับ รีวิวหนังสารคดี ได้ที่นี่

รีวิว Good Girls (ถึงเวลาร้าย) อาชญากรแก๊งแม่บ้าน 3 แสบ

Good Girls ถึงเวลาร้าย เรื่องราวของ 3 แม่บ้านที่มีปัญหาการเงินจนตรอกจนลุกขึ้นมาปล้นซูเปอร์มาเก็ต แต่พวกเธอกลับไม่หยุดอยู่แค่นั้น และถลำลึกลงไปในวงการอาชญากรรมมากขึ้นเรื่อยๆ เรื่องนี้เป็นซีรีส์ที่ทำลงช่อง NBC ของอเมริกาเมื่อปี 2018  Netflix ซื้อสิทธิ์การฉายลงทั่วโลกอีกที ซึ่งตัวเนื้อเรื่องก็ไปทำนองคนปกติดีๆ ที่ก้าวเข้าสู่วงการอาชญากรรมแบบเดียวกับซีรีส์ Breaking bad หรือ Ozark เพียงแต่ว่าเรื่องนี้ออกไปในทางตลกเบาสมองมากกว่าจะมาซีเรียสจริงจังแบบสองเรื่องนั้น แนวทางอาชญากรรมแบบที่ผู้หญิงก่อขึ้นมาได้ และก็เป็นเสน่ห์จุดแตกต่างที่ฉีกออกไปได้ดีมากด้วย

เรื่องราว 3 แม่บ้านที่เป็นเพื่อนซี้กันมาตั้งแต่เด็ก เบธ แอนนี่ รูบี้ โดยทั้ง 3 คนมีนิสัยและชีวิตครอบครัวแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ก็คบหาสนิทสนมกันมาตลอดด้วยมิตรภาพที่เหนียวแน่นมาก โดยเบธเป็นพี่ใหญ่สุดของแก๊ง ที่ชีวิตครอบครัวดูเพียบพร้อมสุด ลูก 4 สามีขยันทำงานทำการ เธอเองก็เป็นแม่บ้านเต็มตัว ส่วนแอนนี่เป็นน้องสาวแท้ๆ ของเบธที่ไม่มีอะไรเหมือนกันเลย มีลูก 1 คนที่เป็นวัยรุ่นทรานเจนเดอร์ จากผู้หญิงข้ามมาเป็นผู้ชาย สามีก็แยกทางไปแต่งงานใหม่ เธอเองก็เรียนน้อยเลยทำงานแค่ในซูเปอร์มาเก็ต แล้วก็เป็นคนออกไอเดียปล้นที่ทำงานตัวเองให้กับพี่สาวเองนี่แหละ ส่วนรูบี้สาวผิวสีลูกสอง 2 ที่ดูไม่น่ามาคบหากันได้ แต่เธอเองก็สนิทกับเบธมากที่สุด และก็เคารพเชื่อฟังเบธมาก แอบมีไม่ถูกกับแอนนี่อยู่บ้าง แต่ก็แคร์กันและกัน รายละเอียดความสนุกของเรื่องนี้จริงๆ คือการที่ตัวละครหลักทั้ง 3 คนได้เงินมาง่ายๆ แต่ก็มีเรื่องให้เงินหมดไปง่ายๆ แบบตลกร้ายไปกับชีวิตปกติในฐานะแม่บ้านที่ต้องมาแบกรับภาระเหลือรับที่สามีผู้นำครอบครัวก่อไว้และหมดทางแก้ปัญหา โดยที่คนอื่นรอบตัวก็ไม่รู้เลยว่าทั้ง 3 คนนี้กลายเป็นอาชญากรที่มีพัฒนาการถลำลึกเข้าสู่ด้านมืดขึ้นเรื่อยๆ แม้ตอนแรกอาจจะดูมือใหม่ แต่พอเรื่องเดินไปเรื่อยๆ จะเห็นว่าทั้ง 3 คนนี้เกิดมาเพื่อเป็นอาชญากรดีๆ นี่เอง

สรุปแล้วซีรีย์อาชญากรรมที่มีความร้ายแบบแสบๆ จาก 3 แม่บ้านที่ผันตัวมาเป็นอาชญากรตัวเอ้ด้วยความจำเป็นต้องหาเลี้ยงปากท้องครอบครัวแทนสามี เนื้อเรื่องสนุก สดใหม่  ส่วนความตลกของเรื่องนี้แรกๆ รับรองว่าฮามากแน่นอนกับความเปิ่นๆ ผิดๆ ถูกๆ ในการก่ออาชญากรรมแต่ละครั้ง แต่ว่าพอครึ่งหลังของซีซั่น 1 ไปเรื่องจะลดความตลกลงไปเยอะ อาจจะเพราะตัวละครหลักทั้งสามเริ่มเข้าสู่วงการอาชญากรรมจริงจัง เลยเริ่มซีเรียสมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวละครมีเสน่ห์น่าจดจำ แต่เรื่องไม่ได้ตั้งใจทำให้สมจริงหรือสมเหตุผล อาชญากรรรมในเรื่องจะง่ายๆ รวบรัดจบไวในแต่ละครั้ง และสามตัวเอกก็รอดได้เรื่อยๆ ไม่ได้ลุ้นอะไรมากนัก แต่รับรองถึงจะตลกน้อยลง แต่เรื่องไม่ได้ดูเครียดแน่นอนค่ะ

👉👉  นอกจากนี้ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับ รีวิวซีรี่ย์ฮิตติดกระแส ได้ที่นี่

 

รีวิว The SpongeBob Movie 2020 (สพันจ์บ็อบ ผจญภัยช่วยเพื่อนแท้)

สพันจ์บ็อบ ผจญภัยช่วยเพื่อนแท้ ภาพยนตร์ไลฟ์แอ็คชั่น 3 มิติที่ถูกสร้างขึ้นจากแอนิเมชั่นซีรีย์ค่าย นิคคาโลเดียน ในเครือไวอาคอมซีบีเอส สพันจ์บ็อบ สแควร์แพนส์ ของ สตีเฟน ฮิลเลนเบิร์ก กำกับและเขียนบทโดย ทิม ฮิลล์ ผู้กำกับเจ้าของงานดัง ๆ อย่าง การ์ฟิลด์ 2 ตอน อลเวงเจ้าชายบัลลังก์เหมียว กับ อัลวินกับสหายชิพมังค์ โดยนี่ถือเป็นภาพยนตร์สพันจ์บ็อบ สแควร์แพนส์ลำดับที่สาม ต่อจาก สพันจ์บ็อบ สแควร์แพ้นท์ เดอะมูฟวี่ (2004) และ สพันจ์บ็อบ ฮีโร่จากใต้สมุทร (2015) สร้างโดยเครือพาราเมาต์ อนิเมชั่น รีวิว The SpongeBob Movie

เรื่องราว ในโลกใต้ทะเล มีสิ่งมีชีวิตใต้แนวปะการังที่อาศัยอยู่ในมหานครใต้บาดาลเล็ก ๆ ที่เรียกว่า บิกินี่ บอททอม ชีวิตที่แสนสงบและวุ่นวายของทุกคนถึงคราวปั่นป่วนเมื่อราชาโพไซดอนแห่งมหานครแอตแลนติสที่สาปสูญได้ร่วมมือกับ แพลงก์ตอน ศัตรูคู่แค้น พาตัว แกรี่ หอยทากเพื่อนรักของสพันจ์บ็อบ สแควร์แพนท์ไปยังที่มหานคร ท่ามกลางความหวาดกลัว และความไม่แน่นอน ได้ผลักดันให้ฟองน้ำสีเหลืองผู้เป็นมิตร ซุ่มซ่าม และฉลาด เพื่อค้นหาความหมายของความกล้า มิตรภาพ และสิ่งที่รักจึงเริ่มขึ้น พร้อมด้วยเพื่อนซี้อย่างแพททริคและเพื่อนใหม่อีกมากมายที่ออกสตาร์ทจากเมืองเล็ก ๆ สู่มหานครที่พวกเขาไม่เคยหยั่งรู้ อดีตที่ไม่เคยถูกบอกเล่า และความจริงบางอย่างที่จะเปลี่ยนแปลงโลกใต้ทะเลไปตลอดกาล

โดยสรุปเรื่องราวของภาคนี้ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน แบบเดียวกับที่อนิเมชั่นซีรีย์เป็น คือเล่าเรื่องชีวิตที่เรียบง่ายและวุ่นวายของเหล่าตัวละคร จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์อะไรบางอย่างที่ทำให้เรื่องเข้มข้นขึ้น สำหรับในภาคนี้เน้นย้ำถึงเรื่องความกล้าหาญของเหล่าตัวละคร และมิตรภาพที่เด่นชัดกว่าภาคก่อน ๆ จริงอยู่ที่แม้ว่าเรื่องจะเหมือนเปิดกว้างไปที่ปูมหลังของแกรี่ แต่มันยังครอบคลุมไปถึงตัวละครอื่น ๆ อย่างเพื่อนแท้ของสพันจ์บ็อบที่ออกมาให้เราได้รับรู้ว่าแท้จริงแล้ว เจ้าฟองน้ำสีเหลืองที่จริง ๆ ดูซุ่มซ่ามและน่ารำคาญในซีรีย์

👉👉  นอกจากนี้ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับ ดูหนังใหม่ ได้ที่นี่

รีวิว Tom and Jerry 2021 (ทอมแอนด์เจอร์รี่ : ฉบับภาพยนตร์)

Tom and Jerry 2021 (ทอมแอนด์เจอร์รี่ : ฉบับภาพยนตร์) ภาพยนตร์แนวตลกเจ็บตัวไลฟ์แอ็คชั่นผสมอนิเมชั่นไฮบริดสองมิติ สร้างจากภาพยนตร์การ์ตูนสั้นในปี 1940 ชื่อเดียวกันที่สร้างโดย แฮนนาห์ และโจเซฟ บาบีร่า  การต่อสู้ห้ำหั่นอย่างเอาเป็นเอาตายของแมวสีน้ำเงินและหนูสีน้ำตาลอย่าง ทอม กับ เจอร์รี่ ที่หยิบสารพัดทุกสิ่งของมาฟาดฟันกันอย่างไม่กลัวความรุนแรงราวกับหนังเรต R กว่า 81 ปีที่โลดแล่นในสื่อต่าง ๆ  จนเป็นที่นิยมของหนู ๆ และผู้ใหญ่หลาย ๆ คนทั่วโลก พร้อมด้วยความนนิยมเรื่องมุกตลกเจ็บตัวหรือ slapstick มาจนถึงทุกวันนี้ และนี่คือผลงานฉลองครบรอบ 80 ปี ที่ทิม สตอรี่ ผู้กำกับมากฝีมือที่ฝากผลงานหนังดังมาแล้วมากมาย

เรื่องราว เมื่อทอมกับเจอร์รี่ป่วนจนบ้านแตก พวกเขาจึงถูกไล่ออกและต้องย้ายถิ่นฐานเข้ามาในมหานครนิวยอร์ก ที่ ๆ ทุกความฝันและความสำเร็จรอทุกคนอยู่ แต่อาจไม่ใช่พวกเขา กระทั่งพวกเขาได้ค้นพบที่อยู่ใหม่อย่างโรงแรมหรูชื่อดังกลางเมืองที่มี เคย์ล่า หญิงสาวไฟแรงและเจ้าเล่ห์ พนักงานน้องใหม่ของโรงแรมกำลังดูแลอยู่ แต่ไม่ทันที่จะได้เปิดศึกครั้งใหม่ให้โรงแรมแตก ปัญหาใหญ่ที่มากกว่าแค่แมวและหนูก็เกิดขึ้น เมื่องานแต่งที่ยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษของคู่รักเศรษฐีอย่างเบนและเพตราถูกจัดขึ้น ทั้งคู่กับเคย์ล่าจึงต้องหาทางที่จะป้องกันไม่ให้เรื่องวุ่นวายนี้หลุดออกไป ไม่อย่างนั้นอนาคตของทุกคนรวมถึงโรงแรมอาจจบสิ้นไม่มีเหลือ แต่นี่มันทอมกับเจอร์รี่ไง แมวและหนูไม่สามารถญาติดีกันได้นานแน่ ยังไม่รวมกับ เทอเรนซ์ ผู้จัดการโรงแรมจอมเฮี้ยวและใจดำที่จับตามองดูพวกเขาอยู่ ศึกแมวและหนูอาจไม่สำคัญเท่ากับศึกคนปะทะคนก็เป็นได้ แล้วแบบนี้งานแต่งสุดเลิศหรูระดับศตวรรษนี้จะไปรอดมั้ยเนี่ย

โดยรวมภาพยนตร์ก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนค่อนข้างตรงไปตรงมา เล่าจากหนึ่งไปสิบ ไม่ได้มีปมอะไรที่ชวนให้ต้องความเข้าใจ แต่เสน่ห์ของมันคือการแบ่งพาร์ทอย่างลงตัวระหว่างเรื่องของทอมกับเจอร์รี่ที่ต้องฟาดฟันกันเพื่อจะได้อยู่ในโรงแรม กับเคย์ล่าที่ต้องพยายามรักษาโรงแรมนี้ไว้ไม่ให้เจ๊งซะก่อน สิ่งที่ทุกคนกลัวในหนังไลฟ์แอ็คชั่นคือ การมีตัวละครมนุษย์จะทำให้หนังดร็อปลงและเด่นกว่าตัวละครที่ไม่มีบทพูดหลัก ก็ต้องบอกเลยว่าไม่ มันมีความสำคัญและได้ช่วยขับเน้นให้ปมตัวละครทอมกับเจอร์รี่ มีความน่าสนใจ ไม่แบนราบจนเป็นเป็นส่วนเกินเหมือนหนังไลฟ์แอ็คชั่นบางเรื่องที่ให้เวลากับมนุษย์มากมายที่ไม่เกี่ยวกับตัวละครหลักการได้เห็นตัวการ์ตูนออกมาโลดแล่นในโลกความเป็นจริงในภาพยนตร์ก็อาจเป็นสิ่งที่เราอยากเห็นในยุคที่มีแต่ความวุ่นวายของโลก ลองใช้เวลาสัก 2 ชั่วโมง เข้าไปดูเรื่องนี้แล้วคุณจะไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ

  👉👉  นอกจากนี้สามารถติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับ รีวิวหนังมิวสิคัล เพลงดนตรี ได้ที่นี่

รีวิว Because This Is My First Life รักแรกตั้ง (ครอบครัว)

Because This Is My First Life ใครกำลังตัดสินใจหาซีรีส์แนวโรแมนติก คอมเมดี้ และมีดราม่าผสมเข้ามาด้วย เรื่องนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่น่าสนใจมากๆ เรื่องราวของเจ้าของบ้านที่ติดหนี้บานเบอะและไม่อยากแต่งงาน กับสาวสุดจนที่ไม่มีกล้าจะเดตกับใคร เขาสองคนกลับต้องมาอยู่อาศัยใต้ชายคาเดียวกัน เพื่อประหยัดเงิน 

เรื่องราว ของ จีโฮ สาวนักเขียนไร้บ้านกระทันหันเนื่องจากบ้านเก่าของพ่อแม่ช่างคับแคบเกินอยู่ไหว เธอที่ต้องการความเป็นส่วนตัวจึงต้องย้ายออกมาอยู่เองเพื่อหาความสงบในการเขียนบทละครและได้พบกับอพาร์ทเม้นแห่งหนึ่งที่ราคาไม่แพงแต่มีข้อบังคับแปลกๆนิดหน่อย แต่อย่างว่าอ่ะนะ ถ้าถูกและดีเธอก็โอเคนั่นแหละ จนกระทั่งย้ายเข้ามาอยู่โดยไม่เคยเจอเจ้าของห้องชื่อแสนสวย ชีวิตก็เรียบง่ายไร้เหตุการณ์ช็อก แต่แล้วความจริงก็เปิดเผยที่ว่าชื่อเจ้าของแสนสวยของเธอนั้นเป็นผู้ชาย  เจ้าของห้องผู้เรื่องมากและมีกฎเยอะอย่าง 'เซฮี' ที่คำนวณทุกอย่างด้วยความคุ้มค่าที่สุดหรือเรียกง่ายๆว่าขี้เหนียวดันถูกเข้าใจผิดจากลูกบ้านว่าเป็นผู้หญิงแถมเซ็นสัญญาไปแล้วด้วย แต่เรื่องมันก็คงจะจบไปง่ายๆถ้าต่างคนต่างแยกกันใช้ชีวิตอยู่ในห้องนอนส่วนตัวของตัวเองไปเงียบๆ จนกระทั่งแม่ของเซฮีรู้เนี่ยแหละ เรื่องมันเลยแดงและเป็นเรื่องใหญ่โตไปซะได้ สุดท้ายทั้งคู่เลยจำเป็นต้องแต่งงานกันหลอกๆและทำเรื่องทุกอย่างให้ง่ายที่สุด

สรุปแล้วซีรีย์ที่เน้นฟีลกู๊ดและเน้นความเข้าใจ อีกทั้งผู้กำกับยังต้องการสื่ออารมณ์และสะท้อนสังคมเกาหลีอยู่กลายๆจึงทำให้ซีรีย์ไม่หวือหวาเลยด้วยซ้ำ หากใครที่ไม่ชอบที่ปมเรื่องไม่หนักอาจจะรู้สึกเบื่อได้บางทีเพราะการดำเนินเรื่องที่ค่อนข้างช้า เรียกได้ว่าเป็นซีรีย์ไว้ดูช่วงเวลาว่างแบบทีละตอนมากกว่าจะดูรวดเดียวจบอ่ะค่ะ  เราชอบความจริงของบทและนักแสดงมาก ที่ชอบที่สุดคือไม่ปล่อยให้ปมผ่านไปง่ายๆแต่กลับค่อยๆคลาย เน้นเวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นอย่างนี้เลยอ่ะค่ะ ดูเป็นเหมือนแนวผู้ใหญ่หรือคนที่กำลังจะได้ลองใช้ชีวิตเลยค่ะ ชอบมาก ชอบความฟีลกู๊ดนี้จริงๆ 

 

👉👉 นอกจากนี้ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับ รีวิวหนังสารคดี ได้ที่นี่

รีวิว Q-FORCE (สายลับพลังคิว) อนิเมชั่นคอมเมดี้สำหรับผู้ใหญ่

Q-FORCE (สายลับพลังคิว) อนิเมชั่นคอเมดี้สำหรับผู้ใหญ่ที่นำเสนอเรื่องราวตัวละครหลักทั้งหมดเป็น เควียร์ (กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศโดยที่ปรากฏในเรื่องนี้ได้แก่ เกย์ หรือ เลสเบี้ยน) สร้างโดย เกบ ลีดแมน มินิซีรีส์ในเน็ตฟลิกซ์ 10 ตอน สร้างโดย NBCUniversal Syndication Studios ในเครือ Comcast เจ้าของบริษัทสื่อหลากหลายชื่อดังอย่าง ยูนิเวอร์แซล ที่ออกตัวอย่างมาก็โดนกระแสในแง่ลบ

เรื่องราว การเปิดตัวว่าตัวเองเป็นเกย์หลังจบการศึกษาการเป็นสายลับ สตีฟ แมร์รี่เวทเทอร์ หนุ่มหล่อหุ่นแบบสไตล์เกย์อเมริกันและเจ้าหน้าที่สายลับมากฝีมือของ AIA หน่วยสายลับของอเมริกัน ที่ถูกกดให้อยู่แต่ในหน่วยย่อยที่ไม่เคยได้ออกภาคสนามท่ามกลางการเหยียดหยามทางเพศมาเป็นเวลากว่าทศวรรษ และถูกสั่งการประจำให้อาศัยอยู่ในเวสต์ ฮอลลีวู้ด โดยเขาได้รวบรวมเจ้าหน้าที่มากฝีมือที่ส่วนใหญ่ล้วนถูกมองข้ามเพราะพวกเขาเป็นเควียร์ และแอบแฝงตัวเองในฐานะคนธรรมดาทั่วไป ทว่า วันหนึ่งสตีฟกลับค้นพบข้อมูลลับที่เชื่อมโยงระหว่างกลุ่มผู้มีความหลากหลายระหว่างเพศและอาชญากรรมระดับโลก แมร์รี่จึงต้องนำทีมที่ถูกดูหมิ่นและมองข้ามออกทำภารกิจสำเร็จแม้แต่คนในทีมด้วยกันที่เป็นสเตรทอย่าง เอเจนท์ บัค เพื่อปกป้องโลก ด้วยเอเนอจี้ หล่อเท่ สวยเริ่ด เชิ่ดปัง และเปี่ยมด้วยความเป็นสายลับที่ไม่จำกัดว่าจะเป็นเพศไหน ๆ และพวกเขาจะทำให้โลกเห็นว่าเควียร์ก็เจ๋งไม่แพ้ใคร ๆ เหมือนกัน

โดยสรุปแล้วซีรีย์อนิเมชั่นสายลับผู้ใหญ่แบบเดียวกับ Archer ที่ไม่ได้เห็นมานาน หลังจากที่เลิกดูไปเพราะรู้สึกว่าเรื่องมันตัน ก็มีเรื่องนี้แหละที่ให้ความสดใหม่โดยไม่มีอคติทางเพศ ถ้าไม่ติดภาพว่าตัวละครหลักสายลับควรเป็นผู้ชาย หรือเพราะตัวละครหลักเป็นซีรีส์เควียร์แบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ มันก็ยังสนุกและให้อารมณ์สายลับเติมด้วยจริตเป๊ะปังอลังการงานเวอร์ มุกตลกที่ดีบ้างแป้กบ้าง และบทสรุปก็อิ่มใจมาก 

👉👉  นอกจากนี้ติดตาม้รื่องราวเกี่ยวกับ รีวิวซีรี่ย์ฮิตติดกระแส ได้ที่นี่

รีวิว Robin-B-Hood (วิ่งกระเต็ง) หนังแอ็คชั่น ตลก สไตล์เฉินหลง

แนะนำหนังแอคชั่นคอมเมดี้   Robin-B-Hood (วิ่งกระเต็ง) สองคนคือทองส์และปลาหมึกยักษ์ได้รับคำสั่งจากพี่เลี้ยงให้ลักพาตัวทารกของครอบครัวลี แม้ว่าจะไม่เต็มใจ แต่พวกเขาก็ทำงานและในไม่ช้าก็พัฒนาสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับทารก

เรื่องราว  สลิปเปอร์ (เฉินหลง) โตมาในครอบครัวยากจน และถูกไล่ออกจากโรงเรียนตอนวัยรุ่น ดูเหมือนชีวิตเขาไม่มีอะไรดีเลย นอกจากความเจ้าเล่ห์หัวหมอที่มี สลิปเปอร์ติดการพนันงอมแงม จนพ่อแม่พี่น้องเอือมระอาเขาเต็มที เจ้าหนี้ก็ตามทวงเงินยิกๆ ถึงหน้าประตูบ้าน แต่แล้ววันหนึ่ง เจ้าของบ้านเช่า (ไมเคิล ฮุย) ก็ยุให้เขาตั้งขบวนการปล้นเพื่ออยู่รอด โดยมี อ๊อคโตพุส (กู่เทียนเล่อ) เพื่อนของสลิปเปอร์เข้ามาร่วมด้วย พวกเขากลายเป็นแก๊งโจรเงอะงะ ที่แม้จะอยู่อีกฟากหนึ่งของกฎหมาย แต่ก็ไม่เคยคิดก่อความรุนแรงใดๆ และแล้ววันหนึ่ง เงินก้อนโตก็ลอยมาอยู่ตรงหน้าพวกเขา ม่านอี้ ทายาทสาวแห่งตระกูลติง ผู้มั่งคั่ง ได้ให้กำเนิดลูกชายหน้าตาน่ารักชื่อ บีบี แต่ก่อนที่พ่อแม่และ แคลวิน (แอนดรู ลิน) สามีของเธอจะได้ฉลองเรื่องเจ้าตัวน้อย บีบีก็ถูกลักพาตัวไปโดย แม็กซ์ (เทอร์เรนซ์ หยิน) คนรักเก่าของม่านอี้ ที่คิดว่าบีบีเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตน โชคร้ายที่แม็กซ์เสียชีวิตในอุบัติเหตุก่อนเวลาอันควร ทำให้พ่อมาเฟียของเขาหาทางแก้แค้นตัวต้นเหตุ และออกตามหาบีบีผู้เป็นหลาน เงินค่าจ้างลักพาตัวบีบีสูงถึง 30 ล้านดอลล่าร์ จนโจรทั้งสามไม่อาจปฏิเสธ 

โดยรวมเนื้อหาของหนังไม่มีอะไรซับซ้อน คาดเดาได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ดูขำไป หัวเราะไป แม้ว่าบางฉากจะดูแล้วอย่างฉากเอาเด็กไปยัดเครื่องซักผ้าแล้วให้เครื่องซักผ้าหมุน หรือเด็กไปยัดตู้เย็นแล้วปิดซะสนิท ฉากทำเด็กเพิ่งหลุดออกมาจากท้องแม่หล่นลงมาจากที่สูง หรือฉากที่เด็กหล่นมาจากชิงช้าสวรรค์ แม้ว่าทุกฉากเด็กไม่เป็นอันตรายอะไร แต่มันเสียวหัวใจทุกฉากมากค่ะ

👉👉  นอกจากานี้ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับ รีวิวซีรีย์แนวสืบสวนสอบสวน แนวฆาตกรรม ไขปริศนา ได้ที่นี่

 

รีวิว Love You Koak E-Gerng (เลิฟยูโคกอีเกิ้ง) สนุกกับความเฮี้ยนของผีจอห์นนี่-ผีฝรั่งเว้าอีสานตัวแรกของโลก

แนะนำภาพยนต์โรแมนติกคอมเมดี้  Love You Koak E-Gerng (เลิฟยูโคกอีเกิ้ง) เตรียมหัวเราะไปกับเรื่องราวแสนเฮฮาในความแตกต่างของวัฒนธรรม เมื่อชายหนุ่มขอพานางในดวงใจสมัยเด็กหนีตามกันไป แต่ก็ไม่วายต้องเอาชนะใจผีพ่อตาที่ไม่ยอมรับทั้งคู่ นักแสดงนำ:ศุกลวัฒน์ คณารศ,เซฟฟานี่ อาวะนิค,คริสโตเฟอร์ โจนาธาน รอย เชฟ

เรื่องราวความรักระหว่าง บักพล (เวียร์ ศุกลวัฒน์) นักมวยอีสานแห่งบ้านโคกอีเกิ้งที่ตกหลุมรัก แหม่ม (เซฟฟานี่ อาวะนิค) สาวลูกครึ่งอีสานอังกฤษคนสวยแต่ความรักครั้งนี้ก็ไม่อาจลงเอยด้วยดีได้เพราะ จอห์นนี (คริสโตเฟอร์ เซฟ) พ่อของแหม่มไม่ต้องการให้ลูกสาวคนเดียวต้องไปกัดก้อนเกลือกินและยังบังคับให้แหม่มแต่งงานกับลูกชายเพื่อนที่เป็นลูกครึ่งด้วยกันจนทั้งคู่ตัดสินใจหนีตามกันไปอยู่กรุงเทพ ด้วยความเสียใจและฤทธิ์สุราบักจอห์นนีเลยประสบอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำจนตายกลายเป็นผีสุดเฮี้ยนหลอกหลอนและยังตามหลอกหลอนไปถึงบักพลถึงกรุงเทพจนกระทั่งทั้งคู่รู้ข่าวการตายของพ่อตาจอห์นนีบักพลและแหม่มจำต้องกลับไปที่โคกอีเกิ้งอีกครั้งเพื่อขอเคลียร์กับวิญญาณพ่อจอห์นนีและกลับไปสะสางหนี้ของบ้านแหม่มด้วยเชิงมวยขั้นเทพ

โดยรวมสนุกมาก ด้วยความเฮี้ยนของผีจอห์นนี่-ผีฝรั่งเว้าอีสานตัวแรกของโลก ทำให้โคกอีเกิ้งขนหัวลุกและฮาป่วน ขณะที่บักพลกับแหม่มเกือบจะปล่อยใจคลุกวงในได้เสียเป็นผัวเมียก็ได้ข่าวว่าพ่อจอห์นนี่ตายแล้ว บักพลพาแหม่ม กลับมาขอขมา แต่ผีจอห์นนี่ก็ยิ่งเฮี้ยนเล่นงานบักพลและครอบครัวหนัก บักพลจึงต้องพิสูจน์ความรักให้ว่าที่พ่อตาเห็นด้วยการเดิมพันชกมวยล้างหนี้ของบักจอห์นนี่ โดยมีแหม่มกับค่ายมวยศ.โคกอีเกิ้งของจอห์นนี่ และศักดิ์ศรีของชาวโคกอีเกิ้งเป็นเดิมพัน ศึกครั้งนี้ของบักพลช่างใหญ่หลวงนัก ผีจอห์นนี่จะยอมรับบักพล ให้เป็นลูกเขยหรือไม่ บักพลจะรอดหรือจะร่วงคาเวที ความสนุก ความฮา ความสยองขนมากันครบ

👉👉   นอกจากนี้ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับ รีวิวหนังมิวสิคัล เพลงดนตรี ได้ที่นี่