Saturday, May 29, 2021

รีวิวซีรีย์ เรื่อง โดราเอมอน เดอะมูฟวี่ ไดโนเสาร์ตัวใหม่ของโนบิตะ

ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่าโดราเอมอนจะอยู่คู่โลกมากว่า 5 ทศวรรษ มีการผจญภัยมากมายที่เกิดขึ้นทั้งในจอโทรทัศน์ และภาพยนตร์ รวมถึงหนังสือการ์ตูน ซึ่งผ่านมากี่ครั้งก็ทำยอดขายดีและเป็นที่รักของแฟน ๆ น้อง ๆ หนู ๆ ทุกคน ปีนี้เราจึงได้ภาพยนตร์ภาคต่อครั้งแรกเป็นของขวัญให้กับการเฉลิมฉลองครั้งนี้ ซึ่งยืนยันอย่างเป็นทางการแล้วว่า มันคือภาคต่อ แต่มันต่ออย่างไร ผมคงไม่ต้องพูดอะไรมาก แต่ความน่าสนใจของภาคนี้ คือ การให้พื้นที่กับไดโนเสาร์มีปีกที่เชื่อกันว่าจะสามารถวิวัฒนาการเป็นอย่างอื่น อย่างพันธุ์แร็พเตอร์ ซึ่งไม่ได้มาแทนที่พีซึเกะ แต่จะมาถ่ายทอดจักรวาลของโดราเอมอนให้ขยายกว้างมากกว่าที่เป็นเพียงภาพยนตร์จบในตอนหรือในเรื่อง…แต่ก่อนจะถึงตรงนั้น ไปอ่านเรื่องย่อกันดีกว่า
“ไม่กี่เดือนภายหลังเหตุการณ์ใน ไดโนเสาร์ของโนบิตะ (2006) ในปี 2020 โนบิตะได้ค้นพบไข่ไดโนเสาร์ที่ไม่เคยถูกพบมาก่อนนิทรรศการชั้นดินใกล้บ้าน ก่อนจะร่วมมือกับโดราเอมอนนำไข่ไปฟักตัวออกมาเป็นไดโนเสาร์พันธุ์ใหม่ที่โนบิตะได้มีสิทธิ์ตั้งชื่อสายพันธุ์ตามการค้นพบใหม่นี้ว่า “โนบิซอรัส” ตั้งชื่อว่า “คิวและมิว”ทั้งสามเริ่มผูกพันต่อกัน กลายเป็นสายสัมพันธุ์ที่แน่นแฟ้น เขาจึงตัดสินใจจะดูแลและปกป้องทั้งสองตัวให้ดีที่สุด ทว่ายุคสมัยนี้ไม่ใช่ยุคที่เหมาะสมกับไดโนเสาร์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วอย่างคิวและมิว โนบิตะและผองเพื่อนจึงต้องพาคิวและมิวกลับไปที่ปลายยุคครีเทเชียส ซึ่งที่นั่นเขาได้พบกับความจริงบางอย่างที่จะเปลี่ยนประวัติศาสตร์โลกไปตลอดกาล”
นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เนื้อเรื่องของโดราเอมอนฉบับภาพยนตร์มีการสอดแทรกความรู้ประวัติศาสตร์ไดโนเสาร์เยอะที่สุด ทั้งสอดแทรกจากฉากหรือการอธิบายของโดราเอมอนที่เปรียบเสมือนเป็นไกด์พาทุกคนไปเรียนรู้ด้วยกัน มีมุกตลกให้เด็กหัวเราะ โดยเฉพาะมุกของวิเศษหยิบผิดครั้งนี้ขยี้หนักมาก ๆ ในขณะเดียวกันก็มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่ได้เวอร์วังอย่างภาคก่อน โดยเฉพาะของวิเศษที่การนำเสนอของภาคนี้มีความจับต้องได้ง่ายขึ้น เอาจริง ๆ แล้ว ภาคนี้ถือเป็นภาคที่เดาเนื้อเรื่องอะไรได้ง่ายมาก โดยเฉพาะช่วงแรก ๆ แต่ไอ้ความง่ายนี้ก็มักโดนตบหน้าหันเมื่อมันเฉลยในฉากต่อ ๆ มา ซึ่งเหมือนภาคนี้จะรู้ตัวเองดีว่าไม่สามารถดีทัดเทียมได้อย่างภาคต้นอย่าง ไดโนเสาร์ของโนบิตะ มันจึงอัดแน่นไปด้วยสาระและเนื้อหาที่ค่อนข้างจะเรียบง่ายและไร้พิษภัย แต่ก็ยังกล้าใส่ความซีเรียสและอารมณ์ที่อัดแน่นที่บีบคั้นแบบที่โดราเอมอนเดอะมูฟวี่ช่วงหลัง ๆ ทำหายไป ซึ่งเรียกได้เลยว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่ที่สุดอีกเรื่องที่โดราเอมอนและโนบิตะได้พบเจอมาเลยทีเดียว ในขณะเดียวกันก็มีความใส่รายละเอียดที่สำคัญมาก ๆ ในแทบทุกฉาก เรียกได้ว่าถ้าภาคก่อนเดินเรื่องรวดเร็ว ภาคนี้จะใช้การเล่าแบบ เรียกว่าอืดเลย แต่ไม่ได้อืดจนน่าเบื่อ เพราะฉากนั้น ๆ มันจะมีอะไรเชื่อมไปยังฉากต่อไปจริง ๆ และก็ถือเป็นภาคที่ผมน้ำตาไหลถึง 4 รอบ ยอมรับว่าองค์ประกอบของภาคนี้ไม่ได้ไก่กาอย่างที่เคยถูกสบประมาทไว้เลย อีกทั้งมันยังเป็นจดหมายรักส่งให้ถึงคนที่เคยดูภาค 2006 ด้วย
เมื่อไม่มีตัวละครใหม่ของภาคที่เป็นมนุษย์หลัก หนังจึงให้ความสำคัญกับตัวละครของเรื่อง โดยเฉพาะตัวโนบิตะ ที่เราจะได้เห็นมุมที่เราคุ้นเคย แต่ครั้งนี้มันจะเจาะลึกไปถึงสิ่งที่เขาคิด และความพยายามของเขาที่น่ายกย่องมากที่สุดของภาคนี้ ในขณะที่โดราเอมอนก็เป็นตัวละครที่อาจจะไม่โดดเด่นเท่าไหร่ เสมือนเป็นคุณครูของโนบิตะ เพราะภาคนี้โนบิตะขอของวิเศษโดราเอมอนแค่ครั้งเดียว ที่เหลือเขาจัดการเองหมด แถมกลายเป็นตัวตลกไปด้วย ในขณะเดียวกัน ชิซึกะ ไจแอนท์ ซึเนะโอะ ยังเป็นเสมือนตัวละครที่อาจจะไม่โดดเด่นเท่าไหร่นัก แต่ก็ยังรักษาบทบาทในการสนับสนุนและช่วยเหลือโนบิตะได้เหมือนเดิม ที่เด่นสุดคือคิวนี่แหละ ไดโนเสาร์สีเขียวที่มีฉากซีนดี ๆ มากกว่ามิวที่เป็นแฝดด้วยกันซะอีก จนบางครั้งก็คิดว่าถ้ามีแค่คิวตัวเดียวก็น่าจะพอ แต่ไม่ใช่ว่ามิวไม่เด่นนะ มิวก็น่ารักและเข้าขากับชิซึกะให้เห็น แต่หนังไม่ให้ความสัมพันธ์กับโนบิตะมากเท่ามิว แต่ก็ยังโปรยเสน่ห์ความน่ารักควบคู่ตามประสาสัตว์โลกน่ารัก ในขณะที่ตัวละครใหม่ที่เป็นวายร้ายของภาคนี้ ดูจะเป็นอะไรที่จับต้องง่ายที่สุดแล้วในเรื่อง เพราะเจตนาของพวกเขาอาจทำให้คนดูต้องร้องเลยทีเดียว แต่นอกจากความเด่นยังมีการพัฒนาของตัวละครอีกด้วย ซึ่งถ้าเราดูโดราเอมอนเดอะมูฟวี่ เราจะไม่เห็นกระบวนการนี้โดดเด่นเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้มันแสดงให้เห็นแล้วว่า ถึงโนบิตะจะอ่อนแอ ไม่เอาไหน แต่คนเราก็ไม่ได้มีด้านเดียว มันมีด้านที่ถูกขับเน้นอย่างเด่นชัดในยามจำเป็น เป็นเหมือนคำโปรยที่ถูกแปลจนผมอยากหยิบมาตั้งว่า สู่การค้นพบตัวตนใหม่ ค้นพบยังไง ลองไปพิสูจน์ดูครับ ติดตามซีรีย์ใหม่ๆได้ที่ ดูซีรี่ย์พากย์ไทย

Thursday, May 27, 2021

รีวิวภาพยนตร์สุกน่ารัก เรื่อง The Kissing Booth

ด้วยความที่ช่วงนี้จะป่วยกายหนักหน่อย เลยต้องนอนซมอยู่บ้าน เลยกะว่าจะหาไรดูใน Netflix แก้เซ็งหลังจากพึ่งดู Dynasty จบไป ก็เลยลองเปิด “ The Kissing Booth “ ดู เพราะเห็นนักแสดงที่เราคุ้นตาอย่าง ‘ Joey King ‘ จาก Wish Upon และ The Conjuring มาแสดงนำนี่แหละ ซึ่งมันเป็นหนังวัยรุ่นไฮสคูลที่น่ารัก แบบน่ารักมากดูแล้วมีความสุข เพราะหนังมี moment ดีๆมากมายที่ชวนสนุกและอมยิ้มได้ตลอดเวลาจริงๆ
The Kissing Booth เล่าถึงชีวิตสาว “ แอล (Joey King) “ ที่ได้โตมาพร้อมกับเพื่อนชายสุดซี้ “ ลี ฟลินน์ (Joel Courtney) “ ตั้งแต่เด็กทั้งคู่มักเล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน และชอบไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ และได้ตั้งกฏของการเป็นเพื่อนซี้ขึ้นมา แต่แล้ว แอลก็ได้ตกหลุมรัก “ โนอาห์ ฟลินน์ (Jacob Elordi) “ พี่ชายของลี หนุ่มฮอตสำหรับสาวๆในโรงเรียน ซึ่งจริงๆแล้วลึกๆนั้นเธอรู้ว่าการตกหลุมรักญาติคนสนิท มันผิดหนึ่งในกฏของเพื่อนซี้ เธอจึงพยายามเก็บความรู้สึกนั้นเองไว้ และได้แต่แอบมองอยู่ใกล้ๆ แต่เธอไม่รู้เลยว่า “ โนอาห์ “ ก็แอบชอบเธอมาตั้งแต่เด็กแล้วเหมือนกัน แต่แล้วเมื่อเรื่องทั้งหมดที่เธอพยายามปิดบัง มันกำลังทำให้เธอและโนอาห์ได้ใกล้ชิดกัน เมื่อเหตุการณ์โดยบังเอิญที่ซุ้มขายจูบนั้น ทำให้ความรู้สึกลึกๆที่เก็บเอาไว้จึงไม่อาจต้านทานได้อีกต่อไป
เราชอบการดำเนินเรื่องของเรื่องนี้พอสมควรเลย มันรวดเร็ว แต่มีแต่ความสนุกสนาน และเบิกบานใจตลอดเวลา ถึงแม้หนังจะอัดเรื่องราวทั้งหมดไว้ใน 1 ชม.กว่า ทั้งที่หนังสือมันมีเนื้อหามากมายหลายอย่าง ซึ่งถือว่าทำได้ดีระดับนึงเลย เพราะหนังมีความเข้าใจดูง่าย และสนุก อีกครั้งมี moment ชวนน่ารัก ชวนกรี๊ดได้เสมอๆ ช่วงแรกหนังจะเล่าประเด็นมิตรภาพตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบันแบบรวดเร็ว และชวนมีกิมมิคในการเล่า ซึ่งช่วงนี้เป็นการเปิดเรื่องที่โอเค ถึงแม้จะไม่ได้ขยายและลงลึกมากมาย แต่ก็พอจะเข้าถึงได้ว่า สองตัวละคร “ แอล “ และ “ ลี “ มีความสนิทสนมกันมาก และไม่นาน หนังก็เริ่มเจาะไปถึงตัวละครมากขึ้น ให้เราได้เห็นการใช้ชีวิต และคาแรคเตอร์ของแต่ละคนที่ชัดเจนมากขึ้น เห็นมุมมองความคิดและความรู้สึกมากขึ้น ทำให้เราเริ่มเข้าถึงตัวละครและมันจะส่งผลทำให้เราอินไปกับเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในหนังเรื่องนี้ จากนั้นหนังก็เริ่มเข้าสู่โหมดความรักที่มีขีดจำกัด แต่หนังพยายามใส่บรรยากาศชวนโรแมนติคแบบวัยรุ่น กุ๊กกิ๊ก น่ารัก สดใส และเฮฮาได้ดี พูดได้เลยว่าถึงแม้หนังจะเล่าประเด็นนี้อย่างรวดเร็วแค่ไหน มันก็ทำให้เราอินได้ไม่มากก็น้อย แต่มันก็ชวนดิ้นไม่หยุดเลยจริงๆ ด้วยออร่าของพระ-นางที่ต่างกันสุดขั้ว แต่มีคารมที่ตรงเคมีกันนี่แหละ สร้างความน่ารักได้ดีมากเลยทีเดียว
จะว่าไปแล้ว The Kissing Booth มันเป็นหนัง Romance / Comedy / Drama ของวัย Teenage ที่มีประเด็นทุกอย่างที่หนังวัยรุ่นควรจะมี และเล่าออกมาได้สร้างสีสันไม่ชวนดาร์คและรุนแรง ซึ่งถือว่าทำให้คนดูได้รู้สึกเพลิดเพลินและคลายเครียดได้ดี ฟิลหนังให้อารมณ์ไม่เหมือนหนังยุคปัจจุบัน ทั้งๆที่มันก็น่าจะใช้อยู่พอสมควร ให้อารมณ์ร่วมสมัย โดยการใส่รายละเอียดต่างๆ เสื้อผ้า หน้าผม รวมถึงรถยนต์ที่ตัวละครใช้นั่น ให้อารมณ์ยุค 90s มากๆ มีเสน่ห์พอสมควร ด้านนักแสดงทั้งสาม มีคาแรคเตอร์ชัดเจน มีเสน่ห์ไม่เหมือนใคร และสร้างความประทับใจได้ตลอด ทำให้เข้าถึงตัวละครและบทบาทนั้นๆไม่มากก็น้อยเช่นเดียวกัน การส่งอารมณ์กันไม่ว่าจะเป็นรูปแบบเพื่อน พี่น้อง หรือคนรัก มันค่อนข้างดี รู้สึกว่าขาดใครคนใดคนหนึ่งไป หนังจะไม่มีความสนุกเลยก็เป็นได้อะ

Tuesday, May 25, 2021

รีวิวภาพยนต์จีนอบอุ่น ตลก เรื่องข้านี่แหละองค์หญิงสาม

ข้านี่แหละองค์หญิงสามว่าด้วยเรื่องราวของเฉินเสี่ยวเชียนที่ทะลุเข้าไปอยู่ในนิยายที่ตัวเองเป็นคนแต่ง จนได้มาพบกับหานซั่ว พระเอกนิยายในเรื่อง แต่เธอกลับไม่ได้ทะลุเข้ามาเป็นนางเอก แต่เข้ามาเป็นตัวประกอบที่สมควรตายด้วยน้ำมือพระเอกตั้งแต่ตอนแรกชื่อเฉินเชียนเชียน องค์หญิงสามนิสัยไม่ดี มีแต่คนเกลียด เสี่ยวเชียนจึงต้องพยายามหาทางเอาชีวิตรอดจากการพยายามฆ่าของหานซั่วและในขณะเดียวกันก็ต้องพยายามดำเนินเรื่องในนิยายให้กลับสู่หนทางเดิมที่ควรจะเป็นคือการจับคู่หานซั่วกับพี่สาวของตัวเองที่ตนวางไว้ให้เป็นนางเอก
ข้านี่แหละองค์หญิงสามเป็นซีรีส์จีนโบราณที่ดูแล้วไม่สามารถหุบยิ้มได้เลย มุกตลกที่เข้ามาได้จังหวะ ดูลื่นไหลไปกับเนื้อเรื่อง ความรักที่ค่อยๆ พัฒนาไปของพระนาง ตัวละครสมทบที่สร้างสีสันตลอดเวลา บทดราม่าที่ทำให้เสียน้ำตาจนถึงขั้นว่าดูเสร็จแล้วไปนอนก็ยังถึงกับเอาไปฝัน และการค่อยๆ นำเสนอแนวคิดความเท่าเทียมของชายหญิงในเรื่อง นับว่าแปลกใหม่สำหรับเราในการดูซีรีส์จีนอยู่เหมือนกัน เพราะเซตติ้งในเรื่องนั้นคือเมืองสมมติอย่างฮวาหยวนและเสวียนหู ทั้งสองเมืองต่างกันสุดขั้วตรงที่ฮวาหยวนหญิงเป็นใหญ่ เสวียนหู่ชายเป็นใหญ่ ในเนื้อเรื่องเราจะได้เห็นภาพที่เมืองฮวาหยวนเป็นหลัก เดิมทีเสี่ยวเชียนเขียนนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะอยากให้ผู้หญิงได้พลิกมาเท่าเทียมกับชาย แต่เมื่อลองมองลึกเข้าไปในการดำเนินเรื่องแล้วจึงจะเห็นได้ว่าแท้จริงเมืองที่หญิงเป็นใหญ่นั้นไม่ได้แปลว่าเท่าเทียม ท้ายที่สุดก็ต้องมีอีกฝั่งหนึ่งที่ถูกกด นั่นนับว่าไม่ใช่ความเท่าเทียมโดยแท้จริง ซึ่งเสี่ยวเชียนก็ได้เรียนรู้ข้อนี้เมื่อสัมผัสกับโลกในนิยายของตัวเอง
เสน่ห์ของข้านี่แหละองค์หญิงสามที่ทำให้รู้สึกว่าน่าดึงดูดจนยากจะละสายตาคือหนึ่งตัวละคร ทั้งตัวหานซั่วและเฉินเชียนเชียน แม้ว่าซีรีส์จะดูเน้นตลกแต่ความรักที่แสดงออกมาไม่ได้เป็นเรื่องล้อเล่นเลย คนดูจะสามารถสัมผัสได้ถึงความจริงจังและมั่นคงในสายตาของหานซั่วยามมองเชียนเชียนเสมอ ตัวละครเฉินฉูฉู่นางเอกที่ถูกผลักให้เข้าสู่ด้านมืด ไม่ไร้สาระเลยสักนิด มีเหตุมีผลเพียงพอจนสัมผัสได้ถึงความปวดร้าวของตัวละคร จื่อรุ่ยและไป๋จี๋สองคนสนิทของพระนาง เฮฮาร่างเริงตัวตบมุกให้เรื่องราวไม่เครียดขึ้งจนเกินไปนักในบางช่วง เผยเหิง พระรองผู้แสนอารี ตัวละครที่มีความอ่อนโยนแต่ก็มีความเด็ดขาดในตัว เป็นหนึ่งในตัวละครที่คนดูเห็นพัฒนาการมามากที่สุด แม้ว่าจะไม่ชอบเลยที่เป็นคู่แข่งกับหานซั่วแต่ก็คงต้องยอมรับว่าทำใจไม่ชอบไม่ได้เลย หยวนหยวนและซูมู่ พี่สาวคนโตและหนุ่มนักดนตรี เป็นความสัมพันธ์ที่ดูบริสุทธิ์ เป็นความรักที่ช่วยตัดความเย็นชาในเรื่องได้เลยทีเดียว ตัวละครฝั่งพ่อแม่ ทั้งแม่ของเชียนเชียน สง่างาม เด็ดขาด แม่ของหานซั่วที่แอบใบ้มานิดๆ ว่าเป็นตัวละครมู่หลานในตำนาน เป็นตัวละครที่มาตัดช่วงที่ซีรีส์มีรสขมได้ดี
ติดตามหนังใหม่ ดูซีรี่ย์ใหม่ออนไลน์

Sunday, May 23, 2021

รีวิวภาพยนตร์ เรื่อง Yesterday

Yesterday มีชื่อของ แดนนี บอยล์ (Slumdog Millionaire, Trainspotting, 28 Days Later) นั่งแท่นกำกับพร้อมมือเขียนบทระดับเทพอย่าง ริชาร์ด เคอร์ติส ที่ผ่านงานรอมคอมระดับคลาสสิกขึ้นหิ้งอย่าง Notting Hill, Love Actually หรือ About Time มาแล้ว เรียกว่าเป็นดรีมทีมที่ทำให้ Yesterday น่าดูขึ้นเยอะเลย Yesterday เล่าเรื่องราวของ แจ็ก มาลิก (ฮิเมช พาเทล) นักดนตรีหนุ่มเมืองผู้ดีไส้แห้ง ร้องเพลงอยู่ตามผับเล็ก ๆ คนดูหรอมแหรมหากไม่นับแก๊งเพื่อนหน้าม้าผู้จงรักภักดีรวมทั้ง เอลลี (ลิลี เจมส์) แฟนสาวและครูสอนคณิตศาสตร์ ที่ตามติดให้กำลังใจ แจ็ก ไปทุกโชว์ อย่างไรก็ตาม จู่ ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ไฟฟ้าดับไปทั่วโลกชั่วขณะระหว่างที่เขาปั่นจักรยานกลับบ้านและประสบอุบัติเหตุโคม่า ซึ่งหลังจากที่เขาฟื้นขึ้นมากลับพบว่าทั่วทั้งโลกไม่มีใครรู้จัก The Beatles อีกต่อไป แต่ตัวแจ็กเองกลับยังคงมีความทรงจำกับวงสี่เต่าทองเหมือนเดิม ชีวิตของแจ็กถึงจุดเปลี่ยนสำคัญตั้งแต่ที่เขาเริ่มเล่นเพลงของ The Beatles เสียงดนตรีอมตะที่บัดนี้ไม่มีใครเคยรู้จักนั้นทำให้คนที่ได้ฟังหลงรักมันหัวปักหัวปำ
เมื่อทุกอย่างถูกส่งต่อออกไปบนโลกยุคโซเชียลฯ ชื่อของ แจ็ก ก็อยู่ในสปอตไลต์ เขากลายเป็นซุปตาร์วงการเพลงเพียงชั่วข้ามคืนด้วยการเคลมว่าบทเพลงเหล่านี้เป็นของตัวเขาเอง และแน่นอนว่าเมื่อเขาดังเป็นพลุแตกจนคนอย่าง เอ็ด ชีแรน ต้องหันมาสนใจ แจ็ก ก็พบกับบททดสอบมากมายที่ถาโถมเข้ามาในฐานะศิลปินหน้าใหม่พร้อมชื่อเสียง เงินทอง ในวันที่ชีวิตไม่เคยมีตำรารับมือ ความน่าสนใจของหนังเริ่มตั้งแต่ตรงนั้น Yesterday มีพลอตที่น่าสนใจที่น่าเอามาต่อหยิบจับต่อยอดได้เยอะ โดยเฉพาะสำหรับสาวก The Beatles ด้วยแล้ว บทเพลงมากมายที่ถูกร้อยเรียงในเรื่อง มันลงตัวกับสถานการณ์ที่เป็นไปของ แจ็ก และบทบาทของ เอลลี ส่วนตัวคิดว่าเธอช่วยให้หนังสดใสขึ้นมาก ๆ แม้เคมีเวลาเข้าฉากกับ ฮิเมช จะไม่ถึงกับเป๊ะมากสำหรับคู่นี้ แต่ด้วยตัว ลิลี แล้ว เธอมีเสน่ห์ตรึงคนดูได้ และโคตรใช่กับบทบาทของครูสาวบ้าน ๆ โก๊ะ ๆ แต่แฝงไปด้วยความฉลาด ยิ่งดูก็ยิ่งคล้ายกับ อแมนด้า โฮลเดน (Britain’s Got Talent) นอกจากนี้ ตัวหนังยังเดินไปด้วยจังหวะฮา ๆ แบบจิกกัดเรื่องวัฒนธรรมพอปที่สร้างสรรค์ดีตามสไตล์ของ แดนนี บอยล์ แถมยังมีไทอินสินค้าที่ทรงพลังมาก ๆ ของแบรนด์ใส่มาด้วย ทั้งหมดผมเรียกว่าเป็น advertorial scene ที่ช่างลงตัวกับพลอตซะจริง
ในมุมของแฟนเพลง The Beatles มายาวนานคนหนึ่ง รู้สึกประทับใจที่หนังให้เกียรติและพยายามถ่ายทอดความยิ่งใหญ่ในบทเพลงของสี่เต่าทองและสมาชิกทั้ง 4 คนให้กับคนดู ซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องรู้จัก The Beatles ก็สามารถอินไปกับหนังด้วยได้ง่ายมาก ส่วนตาเอ็ด เองก็มีบทเยอะ แต่เสียดายที่ไม่ค่อยมีซีนเด่น ๆ เท่าไหร่ (แอบเหมือนเอาเพลงระดับตำนานมาฆ่าเอ็ดด้วยซ้ำ ฮา) ผมเสียดายอย่างหนึ่งคือหนังเรื่องนี้ให้เวลากับการละเลียดบทเพลงของ The Beatles น้อยกว่าที่ควรจะเป็น หลายฉากมาเป็นท่อนฮุคแล้วตัดสลับไปอีกเพลงแบบเร็ว ๆ ไม่มีจุดพีคที่ทำให้ตื่นตะลึง สตันท์ อะไรทำนองนั้นจาก แจ็ก และ บทเพลงของ The Beatles เอง อาจบอกได้ว่าในฐานะแฟนตัวยงแล้ว รู้สึก ‘ไม่เต็มอิ่ม’ เพราะหนังเลือกโฟกัสไปที่ความสัมพันธ์และมิตรภาพของ แจ็ก มากกว่า ซึ่งบอกตามตรงว่า ตาแจ็กเองกับบทบาทแสดงครั้งแรกก็อาจไม่ได้มีออร่ามากเท่าไหร่ และในภาพรวม Yesterday ไม่ใช่หนังเพลงที่สร้างอิมแพ็คได้ขนาด Bohemian Rhapsody แถมยังมีรายละเอียดบางอย่างที่หนังก็ไม่ได้ตามไปเก็บต่อให้เคลียร์เช่นกัน แต่หากไม่คิดอะไรมาก มันเป็นหนังดี ๆ ที่ทำให้เรานึกถึงหรือหากใครจะทำความรู้จัก The Beatles ได้ง่ายขึ้น นี่คือวิชา The Beatles 101 พร้อมความฟีลกู้ดที่ทำให้คุณอมยิ้มอบอุ่นใจไปทั้งเรื่อง

Friday, May 21, 2021

รีวิวภาพยนตร์ เรื่อง Tom and Jerry ทอม แอนด์ เจอร์รี่

โดยเรื่องราวของเพื่อนรักที่มีในการ์ตูนนั้นกลับเข้ามาสู่โรงภาพยนตร์ที่เราจะได้เห็นถึงมิตรภาพที่แท้จริงของ Tom and Jerry ซึ่งถือว่าเป็นตัวการ์ตูนที่อยู่คู่กับใครหลายๆคนนั้นมาอย่างยาวนานเมื่อ เจอร์รี่ ย้ายไปอยู่ที่โรงแรมที่หรูหราที่สุดในมหานครนิวยอร์ก ณ ช่วงเวลาที่กำลังจะมีพิธีการแต่งงานสำคัญ เป็นเหตุให้ผู้จัดงานจำเป็นต้องจ้าง ทอม มาเพื่อกำจัดเขาให้ออกไปให้พ้นตา เกิดเป็นสงครามระหว่างแมวกับหนูที่อาจทำลายอาชีพการงานของผู้จัดงานคนนั้น ไปจนถึงพิธีแต่งงาน และชื่อเสียงอันโด่งดังของโรงแรม แถมสถานการณ์ยิ่งเลวร้ายไปกันใหญ่เมื่อมีพนักงานอีกหนึ่งคนที่พยายามเข้ามาเติมเชื้อเพลิงให้กับความวุ่นวายระหว่างพวกเขา
ตั้งแต่ William Hanna และ Joseph Barbera หรือที่รู้จักกันในชื่อ Hanna-Barbera ให้กำเนิดแฟรนไชส์การ์ตูนอย่าง Tom and Jerry มาตั้งแต่ปี 1940 ถึงถ้านับเป็น พ.ศ. ก็คือปี พ.ศ. 2483 ซึ่งแน่นอนว่า ด้วยความคลาสสิกของเนื้อเรื่องที่ไม่ได้มีอะไรนอกจาก “แมววิ่งไล่จับหนู” แต่ดันเป็นแมววิ่งไล่จับหนูที่ขายมุกแบบที่เรียกกันว่า Slapstick comedy คือเป็นพวกมุกตลกอุปกรณ์ มุกเจ็บตัว มุกผิดพลาด ต่าง ๆ นานา ที่พลิกแพลงไหลลื่นไปได้เรื่อย ๆ มันก็เลยทำให้การ์ตูนเรื่องนี้กลายเป็นการ์ตูนที่อยู่คู่มาทุกยุคทุกสมัย มีสปินออฟ แตกภาคใหม่ มีตัวละครมาเสริมเพิ่มความป่วนในรูปแบบการ์ตูน หรือแม้แต่ย้อนวัยกลับไปเป็นเด็ก (Tom and Jerry Kids) ก็เคยมีมาแล้ว
แน่นอนครับว่า ในเวอร์ชันภาพยนตร์ก็เคยมีมาแล้วเหมือนกัน ซึ่งในเวอร์ชันภาพยนตร์นั้นมีมาแล้ว 14 ภาค ภาคแรก (Tom and Jerry: The Movie) ฉายมาตั้งแต่ปี 1993 โน่น แน่นอนว่าคนไทยอาจจะไม่ได้คุ้นเคยกับการผจญภัยของเจ้าแมวทอม กับเจ้าหนูเจอร์รี่ในเวอร์ชันภาพยนตร์กันสักเท่าไหร่ อาจจะเพราะว่า 14 ภาคก่อนหน้านั้น ก็ยังเป็นเพียงแอนิเมชันสปินออฟที่จับเอานิทาน หนังดัง นิยายดังแล้วให้ทอมไปวิ่งไล่จับเจอร์รี่ในนั้นซะมากกว่า
แต่ทอมแอนด์เจอร์รี่ เวอร์ชันปี 2021 นี้ ถือว่าเป็นเวอร์ชันแรกในโลกที่ผสมผสานแอนิเมชันสามมิติกับคนแสดงเข้าไว้ด้วยกันครับ เนื้อเรื่องเริ่มต้นด้วยเจ้าหนู “เจอร์รี่” ที่มีโอกาสย้ายเข้าไปอยู่ในโรงแรมสุดหรูใจกลางนิวยอร์ก ที่กำลังจะกลายเป็นสถานที่จัดงานแต่งงานสำคัญใหญ่โตของเซเลบริตีคนสำคัญ ให้บังเอิญจังหวะเดียวกันกับ “เคย์ลา” (Chloë Grace Moretz) สาวเจนวายเจ้าเล่ห์แต่ตกอับที่เพิ่งจะตกงานจากร้านซักรีดมาหยก ๆ ได้มีโอกาสใช้ความเจ้าเล่ห์เพทุบาย จนได้มีโอกาสเข้าไปเป็นพนักงานชั่วคราวในตำแหน่งผู้ดูแลงานอีเวนต์งานแต่งงานสำคัญนี้โดยเฉพาะ
จนกระทั่งเธอได้ไปเจอกับเจอร์รี่ ที่ไม่ใช่แค่มาอยู่เพียงอย่างเดียว แต่ยังมาป่วนโรงแรม ขโมยของ ขโมยอาหารสารพัดไปสร้างวิมานรูหนูของตัวเองซะงั้น จนกระทั่งเธอได้ไปเจอและมีโอกาสจ้าง “ทอม” แมวคู่ปรับตลอดกาลมารับหน้าที่กำจัดเจอร์รีออกไปให้พ้น เพื่อไม่ให้งานแต่งงานสำคัญ และชื่อเสียงของโรงแรมต้องมีอันต้องพังพาบไปเสียก่อน ติดตามได้ที่นี่ รีวิวซีรี่ย์โรแมนติกคอมเมดี้

Wednesday, May 19, 2021

รีวิวภาพยนตร์เรื่อง The Mitchells vs. the Machines – พลังความรักของครอบครัว

ใครที่หาความบันเทิงแบบอิ่มเรื่องที่เรียบง่ายดูได้ทั้งผู้ใหญ่ยันเด็ก โรดทริปของครอบครัวสุดเพี้ยนอลเวงอย่างหนักเมื่อทุกคนดันไปตกอยู่ท่ามกลางศึกหุ่นยนต์ถล่มโลก และกลายมาเป็นความหวังสุดท้ายของมวลมนุษยชาติแบบที่ไม่มีใครคาดคิด!แถมเสริมสร้างความผูกพันได้ดีมาก ๆ ด้วย เพราะบ้านมิตเชลล์นี้มีลูกสาวที่เริ่มโตและค้นพบเส้นทางฝันในการเป็นผู้กำกับหนัง แต่แน่นอนว่าคุณพ่อหัวเก่าย่อมไม่เข้าใจและเป็นห่วงว่าจะใช้เลี้ยงชีพได้จริงเหรอ จนกลายเป็นความระหองระแหงเล็ก ๆ ในครอบครัวเล็กที่สมาชิกแต่ละคนก็มีความแตกต่างกันสูง (ไม่ต่างจากครอบครัวยุคใหม่จำนวนมากมายเลย)
และเมื่อถึงวันที่ลูกสาวต้องไปเข้ามหาวิทยาลัย คุณพ่อจึงตัดสินใจจัดทริประยะไกลพาทั้งครอบครัวไปส่งลูกสาวคนโต แน่นอนว่าหลังจากนั้นคือความวายป่วงของบุคลิกที่ขัดแย้งกันในครอบครัว แล้วยังไม่วายมีเรื่องของหุ่นยนต์ยึดครองโลกมาป่วนอีกต้องบอกว่า ‘The Mitchells vs. the Machines’ เป็นแนวหนังครอบครัว ผสมโรดมูฟวีที่มีกลิ่นฟีลกู้ด ชวนให้นึกถึง ‘Little Miss Sunshine’ (2006) อยู่บ้างเหมือนกัน ทว่าด้วยความเป็นแอนิเมชันที่ต้องเผื่อใจให้เด็กรับชมด้วยทำให้หนังไม่ดูยากเท่า และยังสามารถใส่ความแฟนซีลงไปได้มากกว่าจึงมีกราฟความบันเทิงที่โดดเด้งกว่ามาก ๆ
ด้านงานภาพต้องบอกว่าขึ้นชื่อว่ามาจาก Sony Pictures Animation แล้ว หายห่วงเรื่องความจัดจ้านของสไตล์ อย่างในหนัง ‘Spider-Man: Into the Spider-Verse’ (2018) ก็เห็นได้เป็นตัวอย่าง สำหรับเรื่องนี้ด้วยความที่ตัวละครอย่าง เคที ลูกสาวคนโตของครอบครัวนั้นเป็นตัวแทนสายตาผู้ชม และด้วยความชื่นชอบในการทำคลิปไวรัลลงยูทูบ หนังทั้งเรื่องจึงอุดมด้วยการผสมภาพมีมและดูเดิลในอินเทอร์เน็ตมากมาย บางครั้งใช้ภาพจริงผสมกับแอนิเมชัน 3 มิติด้วยซ้ำแบบขัดแย้งสุด ๆ แต่กลายเป็นว่าหนังยิ่งดูยิ่งมัน เราเห็นความมันมือ สนุกกับงาน รักในงานของทีมผู้สร้างผ่านตัวผลงานได้เลย
การทำด้วยความรักในงานนี้ ยังสะท้อนออกมาผ่านบทของหนัง ซึ่งอาจมองว่าไม่มีอะไรใหม่ได้หากคำนึงถึงเพียงเส้นเรื่องหลัก เพราะยอมรับว่ามันก็คือหนังตามสูตรที่ให้เด็กดูง่ายด้วย แต่ทว่าธีมและสารที่หนังต้องการสื่อเรารู้สึกได้เลยว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับคำว่าครอบครัวมากขนาดไหน มันต้องเป็นคนที่รักครอบครัวและมีหัวใจอบอุ่นจริง ๆ ถึงจะทำหนังน่ารักอย่างนี้ได้แบบไม่ขวยเขิน

Monday, May 17, 2021

รีวิวภาพยนตร์เรื่อง โฉมงามกับเจ้าชายอสูร

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อเจ้าชายถูกสาปให้เป็นอสูร (Dan Stevens จาก Downton Abbey) รวมถึงข้าทาสบริวารในปราสาทก็ถูกสาปให้เป็นข้าวของเครื่องใช้ตามคาแรกเตอร์และ identity ของแต่ละคน ตั้งแต่… Lumière (Ewan McGregor จาก Star Wars) เป็นที่วางเทียน, Cogsworth (Ian McKellen จาก X-Men, The Lord of the Rings) เป็นนาฬิกา, Plumette (Gugu Mbatha-Raw จาก Miss Sloane) เป็นไม้ปัดขนนก, Madame de Garderobe (Audra McDonald) เป็นตู้เสื้อผ้า, Maestro Cadenza (Stanley Tucci จาก The Devil Wears Prada) เป็นเปียโน, เด็ก Chip (Nathan Mack) เป็นถ้วยกาแฟ, และ Mrs. Potts (Emma Thompson จาก Sense and Sensibility) เป็นกากาแฟ โดยเจ้าชายอสูรและเหล่าข้าไทจะกลับกลายเป็นคนดังเดิมได้ก็ต่อเมื่อเจ้าชายอสูรรู้จักรักแท้และหญิงสาวคนนั้นก็รักตอบก่อนที่กุหลาบวิเศษกลีบสุดท้ายจะร่วงโรย มิฉะนั้นพวกเขาจะต้องเป็นอย่างนี้ตลอดกาล
ห่างไกลจากปราสาทไปหน่อยนึงเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ หญิงสาวสวย Belle (Emma Watson จาก Harry Potter) อาศัยอยู่กับ Maurice ผู้เป็นพ่อ (Kevin Kline จาก Wild Wild West) ชาวบ้านมองว่า Belle เป็นคนแปลก เพราะเธอชอบอ่านหนังสือและไม่แต่งหน้าแต่งตัวแบบสาว ๆ ทั่วไป แต่เธอเป็นที่หมายปองของหนุ่มหล่อ Gaston (Luke Evans จาก Dracula Untold) ผู้ซึ่งภูมิใจในความเป็นชายของตนและหลงตัวเองเป็นที่หนึ่งหลังจากจบการศึกษาจาก Hogwarts ดูเหมือน Emma Watson จะไปโดดเด่นเอาดีทางด้านการศึกษา ทางด้านสังคม และเพื่อสตรี กล่าวคือ เธอก็ตั้งอกตั้งใจจนเรียนจบ Brown University สมกับเป็น Hermione Granger ต่อมาเธอได้รับเลือกให้เป็น UN Women goodwill ambassador อีกทั้งยังขึ้นแท่นเป็น 1 ใน 100 ของผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก ซึ่งจัดอันดับโดย Time
ส่วนทางด้านการแสดงนั้น ก็ต้องยอมรับว่าภาพยนตร์แต่ละเรื่องที่เธอเล่นนั้นไม่ค่อยปังสักเท่าไหร่ แต่แฟน ๆ ของ Emma Watson ก็ยังติดตามดูผลงานของเธออย่างต่อเนื่องอยู่ดี โดยเฉพาะเรื่องล่าสุดอย่าง Beauty and the Beast ซึ่งเป็นหนังใหญ่จากเทพนิยายชื่อดัง ณ ดิสนีย์แลนด์โดยส่วนตัวเราก็ไม่เคยคาดหวังว่าหนังที่ Emma Watson จะเป็นหนังดี เพราะอย่างที่รู้กัน เธอไม่เน้นเล่นหนังดีหนังรางวัล (มิเช่นนั้นเธอไม่ปฏิเสธบท Mia ใน La La Land หรอก) แต่เธอเน้นรับบทตัวละครที่ถ่ายทอดความเป็นเธอ หรือไม่ก็ empower women
ติดตามได้ที่นี่ ซีรีย์โรแมนติก

Saturday, May 15, 2021

รีวิวซีรีย์ เรื่อง Romance Doll

วันนี้เราจะมารีวิวภาพยนต์รักสุดอบอุ่นที่ว่าด้วยเรื่องด้วยชายหนุ่มนาม เท็ตสึโอะ ผู้ที่เพิ่งเรียนจบวิทยาลัยศิลปะและบังเอิญได้มาทำงานที่โรงงานปั้นตุ๊กตายางโดยต้องเป็นลูกมือให้รุ่นเก๋าอย่างลุงคินจิ เรียนรู้ทั้งการเป็นช่างปั้นตุ๊กตายางในฐานะศิลปินและการใช้ชีวิตไปในตัว วันหนึ่งในการหาทางปั้นหน้าอกผู้หญิงให้สมจริงที่สุดเขาจึงได้พบกับ โซโนโกะ นางแบบที่มาเป็นตัวอย่างหน้าอกให้ และการพบกันแค่ครั้งนั้นก็ทำให้เท็ตสึโอะตกหลุมรักผู้หญิงคนนี้ทันที เนื้อเรื่องช่วงนี้ผ่านไปไวจนทั้งคู่แต่งงานกัน ซึ่งผู้ชมอาจยังไม่ทันอินในความรักของ 2 ตัวละคร แต่มองในแง่หนึ่งนั่นก็เพราะหัวใจของการเล่าเรื่องมันอยู่หลังจากนี้ทำให้ผู้สร้างอาจยอมแลกช่วงปูพื้นและให้เวลากับส่วนหลังมากขึ้นนั่นเอง
จริง ๆ แล้วหนังก็หยอดสิ่งที่ชวนให้เราอยากรู้ไว้แต่ต้นเหมือนกันด้วยฉากการร่วมรักของคู่รักตัวนำที่จบลงด้วยการที่เท็ตสึโอะบอกว่านี่คือจุดจบความสัมพันธ์ของทั้งคู่ และหลังจากหนังพาเราเริ่มต้นการพบพานจวบจนการผ่านอุปสรรคต่าง ๆ ทั้งการทำงานในฐานะศิลปินและอาชีพเสื่อมเกียรติของเท็ตสึโอะ การปิดบังเรื่องอาชีพที่แท้จริงต่อโซโนโกะ ไปจนถึงดราม่าความสัมพันธ์ที่ห่างเหินจากความบ้างานของเท็ตสึโอะ จนนำมาซึ่งการโกหกของทั้งสองสามีภรรยาที่กลายมาเป็นบทเรียนแสนสะเทือนใจ และวกกลับมาบรรจบที่ฉากร่วมรักตอนต้น ก็คลี่คลายความหมายใหม่ของคำว่าจุดจบในความสัมพันธ์ได้อย่างซาบซึ้งและชวนเศร้าอยู่ไม่น้อย แต่ต่างจากเดิมคือมีความอุ่นก่อขึ้นในหัวใจผู้ชมด้วย ซึ่งต้องชมฝีมือการเล่าของผู้กำกับทานาดะด้วย
หนังฉาบหน้าด้วยอาชีพช่างทำตุ๊กตายางแต่ก็ไม่ใช่หนังแนวอาชีพอย่างที่ญี่ปุ่นถนัด และในขณะเดียวกันสโลแกนของหนังที่ว่า ตุ๊กตายางอาจไม่ใช่เรื่องของตัณหาแต่มีเรื่องราวเบื้องหลังคือความรักยิ่งใหญ่ ก็เน้นย้ำว่าหนังเรื่องนี้พูดเรื่องความสัมพันธ์ของคู่รักญี่ปุ่นเป็นหลัก ก็อาจทั้งถูกใจและไม่ถูกใจคอหนังรักญี่ปุ่นได้เช่นกัน เพราะหนังมีการเดินเรื่องแบบอิ่มอุ่น เอื่อย ๆ ไม่โฉ่งฉ่างชวนดูนัก แต่ข้อดีคือมันได้ความละมุนนุ่มลึกในแบบหนังญี่ปุ่นจริง ๆ กลับมา ฉากการสนทนาเงียบ ๆ หลาย ๆ ฉากที่ซ่อนพลังความคิดอย่างคมคายอาจถูกโฉลกนักดูหนังบางกลุ่ม แต่ก็เป็นของจืดเกินไปสำหรับคอหนังอีกกลุ่ม

Thursday, May 6, 2021

รีวิวซีรีย์ เรื่อง The Kissing Booth 2

เดอะ คิสซิ่ง บูธ 2 เรื่องราวระหว่างเพื่อนที่สนิทกันโตมาด้วยกัน เรียกได้ตัวติดกันแทบจะตลอดเวลา แต่เมื่อลีมีแฟนและแฟนของเขาต้องการเวลาส่วนตัวเพื่ออยู่กับลีแค่ 2 คนบ้างโดยที่ไม่มีแอลตลอดเวลา เรื่องนี้ลีจะตัดสินใจบอกเพื่อนสนิทอย่างแอลอย่างไร และนี่เป็นชีวิตมัธยมปีสุดท้ายของพวกเขาซึ่งเคยตกลงกันไว้ว่าจะไปต่อมหาลัยเดียวกัน แต่แอลกลับมีเป้าหมายใหม่เมื่อเธอมองหามหาลัยนอกเหนือจากที่คุยกันไว้ ทั้งคู่จะสามารถกลับมาเข้าใจและเป็นเพื่อนสนิทกันเหมือนเดิมได้ไหม
นอกจากเรื่องราวของเพื่อนไปแล้วแอลยังต้องเจอปัญหารักระยะไกลอีก เมื่อโนอาห์แฟนหนุ่มของเธอต้องเรียนต่อมหาลัยที่เมืองอื่นโดยทั้งคู่เริ่มห่างกันคุยกันน้อยลง ปัญหาครั้งนี้ก็เริ่มขึ้นเมื่อหนึ่งในกลุ่มเพื่อนของโนอาห์เป็นหญิงสาวที่ดูจะสนิทสนมกับโนอาห์มากเป็นพิเศษ หลายอย่างที่แอลเจอเริ่มทำให้รู้สึกไม่สบายใจ หนักสุดคือไปเจอบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เธอคิดว่าโนอาห์นอกใจเธอแน่ๆ ภาคนี้บอกเลยว่านางเอกที่ร่าเริงตลอดเวลาต้องมีฉากเสียน้ำตา
หลายๆ อย่างทำให้แอลต้องใกล้ชิดกับมาร์โคเพื่อนร่วมชั้นที่เข้ามาใหม่ เธอที่กำลังมีปัญหากับโนอาห์แล้วต้องมาเจอหนุ่มหล่อที่สาวๆ ก็ต่างพากันกรี๊ดคอยมาช่วยมาเป็นกำลังใจให้เธอ เธอจะห้ามใจตัวเองไม่ให้เกินเลยไปมากกว่านี้ได้ไหมและเมื่อมาร์โคเองก็เริ่มที่จะรู้สึกกับเธอมากกว่าเพื่อนร่วมชั้นไปแล้ว แอลจะจัดการกับปัญหาทั้งเรื่องเพื่อนและเรื่องความรักของเธออย่างไร และภาคนี้ยังมีซุ้มจูบที่ถูกจัดขึ้นในงานโรงเรียนเหมือนเดิม ติดตามข้อมูลข่าวสาร ดูซีรี่ย์ใหม่ออนไลน์

Tuesday, May 4, 2021

รีวิวภาพยนต์เรื่อง The Shape of Water เดอะ เชฟ ออฟ วอเทอร์

ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่ไม่ได้มีฉากหรูหราหรืออะไรที่พิเศษแต่เราว่าสามารถสะกดคนดูได้ดีมากๆเพราะในเรื่องตัวละครที่ต้องบอกเลยว่ามันเกินสมจริงๆอ่ะ มันทำให้เราคิดว่าตัวละคร ที่เป็นมนุษย์ครึ่งปลานั้นมันมีจริงๆและการถ่ายทดอารมณ์ของตัวนักแสดงนั้นก็ดีมากๆ เล่นดีกันทุกตัวละครแถวตอนจบมีแอบพีคแบบที่เราอึ่งไปเลยก็ว่าได้ ในเรื่องจะเป็นไปในแนวย้อนยุคหน่อยๆ
เอลิซ่า สาวใบ้ (แต่หูไม่หนวก) เป็นพนักงานทำความสะอาดในศูนย์วิจัยทางด้านอวกาศแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ในยุคสงครามเย็น วันดีคืนดี ทางศูนย์ฯ ก็นำสัตว์ประหลาดจากป่าลึก ที่มีลักษณะคล้ายๆ คนผสมปลา (อารมณ์ประมาณ “พรายน้ำ” ) มาจองจำไว้ในห้องลับของศูนย์ฯ นี้ นางเอกของเราก็เข้าไปปัดกวาดเช็ดถูในห้องทดลองนี้บ่อยๆ เห็นเจ้าพรายน้ำถูกทำทารุณกรรมบ่อย ๆ เข้าก็ รู้สึกสงสาร จนพัฒนากลายมาเป็นความรักที่โรแมนติคราวกับการ์ตูนดิสนีย์เรื่อง “โฉมงามกับเจ้าชายอสูร” อะไรปานนั้น แต่จุดพีคสุด อยู่ตรงที่สัตว์ประหลาดตัวนี้ต้องถูกฆ่าและชำแหละเพื่อการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ นางเอกทนไม่ได้ เลยวางแผนพาพรายน้ำหนี และนำไปซ่อนไว้ที่ห้องน้ำในบ้านเช่าของเธอ แต่ในที่สุดก็โดนตามล่า จนต้องพากันหนีแบบทุลักทุเล และ ลุ้นหนักมาก ส่วน ตอนจบเรื่องจะลงเอยแบบใด จะเสียน้ำตาหรือได้รอยยิ้มกลับมา อันนี้ไม่เฉลยไปดูกันเอง ที่โรงภาพยนตร์ในเครือเมเจอร์ทุกแห่งหนทั่วประเทศไทย
ในส่วนของการดำเนินเรื่อง ถือว่าทำได้ดี เรื่อยๆ ในตอนต้นเรื่อง และเร้าความตื่นเต้น ขึ้นเรื่อยๆ ในตอนกลางกับตอนท้ายของเรื่อง ผมให้คะแนนในส่วนนี้ที่ 9.5/10 ในส่วนของมุมกล้องและภาพ รวมทั้งดนตรีประกอบ น่าประทับใจมาก ผมให้ 10/10 ในส่วนของดารานักแสดงนำ โดยเฉพาะ Sally Hawkins ที่รับบทเป็น “เอลิซ่า” หญิงใบ้ และ Michael Shannon ที่รับบทเป็น “สตริคแลนด์” ตัวร้ายของเรื่อง ผมว่าเล่นได้ดีสมบทบาท กระชากอารมณ์ด้วยสีหน้าและแววตาแบบสุดๆ ผมให้ที่ 9.5/10

Sunday, May 2, 2021

รีวิวภาพยนตร์เรื่อง CINDERELLA

โดยเรื่องราวนั้นเกิดขึ้นเมื่อหลังจากที่พ่อ (Ben Chaplin) เสียชีวิตระหว่างการเดินทางไกลไปค้าขาย คุณหนู Ella (Lily James จาก Wrath of the Titans และซีรีส์ Downton Abbey) จึงต้องอยู่กับ Lady Tremaine แม่เลี้ยงใจร้าย (Cate Blanchett จาก The Lord of the Rings, The Curious Case of Benjamin Button, The Hobbit) กับพี่สาวงี่เง่าทั้งสอง ได้แก่ Anastasia (Holliday Grainger จาก The Riot Club, Jane Eyre) และ Drisella (Sophie McShera จาก Downton Abbey) ในฐานะคนรับใช้ และผลักไส Ella ให้ไปนอนบนห้องใต้หลังคา นอกจากนี้พี่เลี้ยงยังเรียกเธอว่า “Cinderella” จากภาษาฝรั่งเศส “Cinder Wench” หรือ “Dirty Ella” เพราะ Ella มักจะเนื้อตัวมอมแมมตลอดเวลา
วันหนึ่ง Ella น้อยใจแม่เลี้ยง ขี่ม้าเข้าป่า ไปเจอเจ้าชาย (Richard Madden หรือ Robb Stark จาก Game of Thrones) กำลังล่าสัตว์อยู่กับพวกทหารในวัง โดยที่นางซินฯ ไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็นใคร ส่วนเจ้าชายก็โกหกว่าตัวเองชื่อ Kit เป็นลูกมือฝึกหัดอยู่ในวังทั้งสองตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกพบ เจ้าชายเก็บนางซินฯ ไปเพ้อฝัน แต่เสด็จพ่อ (Derek Jacobi จาก Gladiator, The King’s Speech) กำชับว่าเจ้าชายต้องแต่งงานกับเจ้าหญิงสักประเทศเท่านั้น อ้างว่าเป็นไปเพื่อความมั่นคงของชาติ โดยมีอีตาอำมาตย์ (Stellan Skarsgård จาก Thor, The Avengers) คอยยุอีกเสียง จะมีก็แต่นายพลคนสนิทของเจ้าชาย (Nonso Anozie) เท่านั้น ที่อยู่ข้างเจ้าชายและคอยช่วยให้เจ้านายสมหวัง
Ella ตัดชุดสวยด้วยตัวเองเพื่อใส่ไปงานเต้นรำ แต่กลับถูกแม่เลี้ยงกับพี่สาวใจร้ายฉีกขาดไม่เป็นชิ้นดี แต่โชคดีของเธอที่นางฟ้าแม่ทูนหัว (Helena Bonham Carter หรือเจ๊ Bellatrix Lestrange จาก Harry Potter) มาช่วยเนรมิตทุกสิ่งอันให้ ทำให้นางซินฯ ได้ไปงานเต้นรำ และได้ค้นพบความจริงว่า ที่แท้ Kit คือเจ้าชาย ที่สาวๆ ทั้งประเทศ รวมถึงพี่สาวสุดเยอะของเธอ หมายมั่นปั้นมือจะจับเป็นพระสวามีนั่นเอง
เทพนิยายหลายเรื่องมีนางเอกเป็นเจ้าหญิงที่สวยและรวยมาก เกิดมามีพ่อเป็นคิง มีแม่เป็นควีน มีพระราชวัง มีอาณาจักร มีมงกุฎเพชร มีทหารรับใช้ มีแม่นมสนมพระพี่เลี้ยง และมีรถม้าคันโต แถมยังได้แต่งงานกับเจ้าชายรูปงามที่แสนเพอร์เฟ็กต์ จึงไม่แปลกที่เด็กสาวตัวน้อยๆ จะมีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นเจ้าหญิง หรือได้รับการปรนนิบัติรับใช้ดูแลจากคนรอบข้างเยี่ยงเจ้าหญิงในเทพนิยาย
ติดตามหนังใหม่ได้ที่ ดูซีรี่ย์เอเชีย

รีวิวหนังโรแมนติก Royalteen (2022) รอยัลทีน

  รีวิวหนังโรแมนติก Royalteen (2022) รอยัลทีน จาก Netflix  ติดตามความรักจากนิวนิยายขายดีเกี่ยวกับ คาร์ล โยฮัน เจ้าชายที่พยายามสร้างความรักที...